กําหนดค่าแท็ก Google สําหรับ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายคือการนําเข้า Conversion ออฟไลน์เวอร์ชันที่อัปเกรดแล้ว ซึ่งใช้ข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ เช่น อีเมล เพื่อเสริมข้อมูล Conversion ออฟไลน์ที่นําเข้าเพื่อปรับปรุงความแม่นยําและประสิทธิภาพการเสนอราคา เมื่อคุณนําเข้า Conversion ออฟไลน์ ระบบจะใช้ข้อมูลลูกค้าที่แฮชที่ให้มาเพื่อระบุแหล่งที่มากลับไปยังแคมเปญ Google Ads โดยจับคู่กับข้อมูลเดียวกันที่เก็บรวบรวมในเว็บไซต์ (เช่น โฆษณาแบบกรอกฟอร์ม) และกับลูกค้าที่ลงชื่อเข้าใช้ซึ่งมีส่วนร่วมกับโฆษณา

หากใช้ Conversion ออฟไลน์อยู่แล้ว คุณสามารถอัปเกรดเป็น Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายเพื่อนําเข้าข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้นอกเหนือจากตัวระบุที่คุณนําเข้าอยู่แล้ว (GCLID) ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Google ใช้ข้อมูล Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัด Conversion ได้ และช่วยเสริมแท็ก Conversion ที่มีอยู่โดยให้ผู้ลงโฆษณาส่งข้อมูลลูกค้าบุคคลที่หนึ่งที่ผ่านการแฮชจากเว็บไซต์ด้วยวิธีที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว ระบบจะเปรียบเทียบข้อมูลลูกค้าที่ผ่านการแฮชของคุณกับของบัญชี Google ที่ลงชื่อเข้าใช้ แล้วระบุแหล่งที่มาเป็นเหตุการณ์โฆษณาซึ่งจะช่วยวัด Conversion ที่เกิดจากแคมเปญ

เมื่อตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายด้วย Google Tag Manager หรือตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายด้วยแท็ก Google คุณสามารถตรวจสอบว่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ในรายงานการวินิจฉัย Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว รายงานการวินิจฉัยจะช่วยให้คุณระบุและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการติดตั้งใช้งาน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ คุณยังตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วใน Google Ads API ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัด Conversion ได้ด้วย

บทความนี้อธิบายวิธีใช้แท็ก Google เพื่อตั้งค่าการวัด Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายบนเว็บไซต์ หากคุณใช้ Google Tag Manager ให้ดูวิธีตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายโดยใช้ Google Tag Manager หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายและวิธีการทํางาน ให้อ่านเกี่ยวกับ Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

หมายเหตุ
  • เมื่อเปิดใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย แท็ก Google ที่เชื่อมโยงอยู่จะบันทึกเหตุการณ์การโต้ตอบกับแบบฟอร์มที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ
  • สําหรับ Google Cloud Storage (GCS), Amazon S3, HTTP, SFTP และ gSheets นั้น Google Ads Data Manager จะนําเข้า Conversion จากช่วง 90 วันที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีการเรียกใช้ สําหรับ Salesforce และ HubSpot นั้น Data Manager จะนําเข้าข้อมูลจากช่วง 14 วันที่ผ่านมาในการเรียกใช้ครั้งแรกที่ประสบความสําเร็จ และทุกครั้งที่มีการเรียกใช้ใหม่หลังจากนั้น ระบบจะนําเข้าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นและมีการรายงานระหว่างการเรียกใช้ครั้งล่าสุดที่ประสบความสําเร็จกับการเรียกใช้ในปัจจุบัน ส่วนสําหรับ BigQuery, Amazon Redshift, Snowflake, MySQL และ PostgreSQL นั้น Data Manager จะนําเข้าข้อมูลจากช่วง 14 วันที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีการเรียกใช้

ก่อนเริ่มต้น

ก่อนตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย คุณต้องระบุโฆษณาแบบกรอกฟอร์มในเว็บไซต์และเลือก 1 ฟิลด์ เช่น อีเมล จากแบบฟอร์มซึ่งระบุโอกาสในการขายที่ไม่ซ้ำกัน และจะรวมอยู่ในการนําเข้าแบบออฟไลน์ในท้ายที่สุดด้วย

เราขอแนะนําให้ใช้อีเมลของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเนื่องจากเป็นตัวระบุที่ไม่ซ้ำกันและไม่มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดรูปแบบใหม่ใน CRM หากใช้หมายเลขโทรศัพท์ แท็กจะนําสัญลักษณ์และเครื่องหมายขีดออกโดยอัตโนมัติ แต่หมายเลขจะต้องมีรหัสประเทศ เราแนะนําให้รวบรวมทั้งอีเมลและหมายเลขโทรศัพท์เพื่อเพิ่มอัตราการจับคู่

นอกจากนี้คุณต้องทำดังนี้

  • จดบันทึก URL ของโฆษณาแบบกรอกฟอร์มในเว็บไซต์ เนื่องจากอาจต้องใช้ข้อมูลนี้ระหว่างการตั้งค่า
  • ตรวจสอบว่าเปิดใช้การติดแท็กอัตโนมัติแล้ว
  • ตรวจสอบว่ามีข้อมูลลูกค้าบุคคลที่หนึ่ง (อีเมลและ/หรือหมายเลขโทรศัพท์) ในโฆษณาแบบกรอกฟอร์มบนเว็บไซต์
  • ตรวจสอบและยืนยันว่าสามารถปฏิบัติตามนโยบายข้อมูลลูกค้าใน Google Ads (ดูขั้นตอนด้านล่าง)

คุณกําหนดค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: กําหนดค่าแท็ก Google ให้บันทึกข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้ซึ่งแฮชแล้วในเว็บไซต์ เช่น อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์จากโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม

  1. หากในปัจจุบันคุณติดตั้งใช้งานเครื่องมือวัด Conversion โดยใช้แท็ก Google ในหน้าเว็บโดยตรง (ไม่ใช่ภายในเครื่องมือของบุคคลที่สามหรือ iframe) คุณสามารถทําตามวิธีการด้านล่างเพื่อตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสําหรับโอกาสในการขายโดยใช้แท็ก Google โดยทําการเปลี่ยนแปลงการกําหนดค่าเพียงเล็กน้อย
  2. หากตอนนี้ใช้ Google Tag Manager สําหรับเครื่องมือวัด Conversion คุณสามารถทําตามวิธีการนี้เพื่อตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้ Google Tag Manager โดยเปลี่ยนการกำหนดค่าเพียงเล็กน้อย

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าการนําเข้าข้อมูล Conversion ออฟไลน์โดยอัตโนมัติซึ่งมีข้อมูลลูกค้าที่แฮชเดียวกันโดยใช้วิธีต่อไปนี้

  1. Google Ads Data Manager หรือ
  2. Google Ads API

หากตอนนี้คุณใช้การนําเข้า Conversion ออฟไลน์ เราขอแนะนําให้อัปเกรดเป็น Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้ Google Ads Data Manager Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายคือการนําเข้า Conversion ออฟไลน์ที่อัปเกรดแล้ว ซึ่งมีประโยชน์ เช่น การใช้งานที่ยาวนานขึ้น, การรายงานที่แม่นยํามากขึ้น, Conversion การดูอย่างมีส่วนร่วม และ Conversion จากหลายอุปกรณ์ ทั้งยังมีการรองรับใน Data Manager, Google Ads API และ Zapier

การติดตั้งใช้งานจะแตกต่างกันไปตามสิ่งที่คุณวัดและความสามารถของคุณ ทําตามคําแนะนําในการอัปเกรดการนําเข้า Conversion ออฟไลน์เพื่อเลือกวิธีการที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด

วิธีการ

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของขั้นตอนการตั้งค่าการนําเข้า Conversion ออฟไลน์โดยใช้ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

  1. กําหนดการตั้งค่าแท็ก Google
  2. สร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่
  3. ยอมรับข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า

1. กําหนดการตั้งค่าแท็ก Google

สําหรับ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วซึ่งมีโอกาสในการขาย คุณจะต้องปรับแท็ก Google ดังนี้

  1. เปิดการตั้งค่าแท็ก Google
  2. ในการตั้งค่าแท็ก Google ให้คลิกจัดการการตรวจหาเหตุการณ์อัตโนมัติ เปิดใช้การรวบรวมอัตโนมัติสําหรับ "การโต้ตอบกับแบบฟอร์ม"
  3. ปิดเมนู

ถัดไป คุณจะต้องนําเข้าข้อมูล Conversion ออฟไลน์ไปยัง Google Ads ด้วยการอัปโหลดหรือลิงก์กับไฟล์ผ่าน Google Ads โดยใช้ Data Manager

2. สร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่

  1. ไปที่สรุปในเมนูเป้าหมาย ไอคอนเป้าหมาย
  2. คลิก + สร้างการกระทำที่ถือเป็น Conversion
  3. เลือกนําเข้าในหน้า "การกระทำที่ถือเป็น Conversion ใหม่"
  4. เลือก CRM, ไฟล์ หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ แล้วเลือกติดตาม Conversion จากการคลิก
  5. ในส่วน "แหล่งข้อมูล" ให้เลือกเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลใหม่ เลือกผลิตภัณฑ์แนะนำหรือพิมพ์ชื่อผลิตภัณฑ์ในแถบค้นหา คุณเลือกเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลได้โดยใช้วิธีต่อไปนี้
    1. การเชื่อมต่อโดยตรง: การเลือกตัวเลือกนี้จะทําให้ส่วน "ข้อมูลลูกค้า" ปรากฏขึ้น คลิกช่องทําเครื่องหมายที่เกี่ยวกับนโยบายความยินยอมของผู้ใช้ EU และนโยบายข้อมูลลูกค้าของ Google เพื่อดําเนินการต่อ
    2. การผสานรวมกับบุคคลที่สามโดย Zapier: เมื่อเลือกตัวเลือกนี้ ปุ่มให้สิทธิ์จะปรากฏขึ้น คลิกให้สิทธิ์เพื่อยืนยันว่าคุณยอมรับการใช้การผสานรวมกับบุคคลที่สามที่อาจมีค่าธรรมเนียม
  6. คลิกต่อไป
  7. เลือก "เป้าหมาย Conversion" โดยใช้เมนูแบบเลื่อนลงเลือกหมวดหมู่ แล้วพิมพ์ชื่อ Conversion
  8. คลิกบันทึกและต่อไป หน้าถัดไปจะยืนยันการกระทำที่ถือเป็น Conversion รายการใหม่
    • หมายเหตุ: หากคุณข้ามการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลในตอนแรก ให้คลิกตั้งค่าในส่วน "ตั้งค่าแหล่งข้อมูล"
  9. คลิกเสร็จสิ้น
  10. เลือกช่องเพื่อเปิด Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย หากไม่ต้องการใช้ฟีเจอร์นี้ ให้คลิกดําเนินการต่อด้วยหมายเลขระบุคลิกของ Google หรือตั้งค่าให้เสร็จในภายหลัง หากต้องการเปิดใช้หลังจากที่ตั้งค่าการกระทำที่ถือเป็น Conversion แล้ว ให้คลิกสรุป ในเมนูแบบเลื่อนลงของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย ให้เลือกช่องเปิด Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขาย

3. ยอมรับข้อกําหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า

หากยังไม่ได้ยอมรับข้อกำหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า โปรดอ่านและยอมรับข้อกำหนดดังกล่าวโดยทําตามวิธีการต่อไปนี้

  1. ไปที่การตั้งค่าในเมนูเป้าหมาย ไอคอนเป้าหมาย
  2. ข้าง "ข้อกำหนดสำหรับข้อมูลลูกค้า" ให้เลือกดูข้อกําหนดแล้วอ่าน "นโยบายและข้อกําหนดเพิ่มเติมสำหรับข้อมูลลูกค้า"
  3. คลิกช่องทําเครื่องหมาย "ฉันได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดในนามของบริษัท"
  4. คลิกยอมรับ คุณจะเห็นสถานะอัปเดตเป็น "ยอมรับแล้ว"
หมายเหตุ:: ข้อกําหนดเหล่านี้มีผลกับทั้งบัญชีหรือกับบัญชีดูแลจัดการ หากคุณดูข้อกําหนดไม่ได้ แสดงว่าบัญชีดูแลจัดการเป็นผู้ติดตาม Conversion ของบัญชี การยอมรับข้อกำหนดสำหรับข้อมูลลูกค้าต้องทำจากบัญชีของผู้จัดการและบัญชีดูแลจัดการ Google Ads ที่อัปโหลดในนามของบัญชีดูแลจัดการซึ่งใช้การติดตามข้ามบัญชี

ตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้ตัวเลือก JavaScript หรือ CSS

หากคุณใช้ตัวแปร JavaScript การสอบถามนักพัฒนาว่าควรเพิ่มตัวแปรใดลงในฟิลด์เหล่านี้น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หากกําลังใช้ตัวเลือก CSS ให้ทําตามขั้นตอนด้านล่าง

ค้นหาช่อง Conversion ที่ปรับปรุงแล้วในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม

  1. ไปยังหน้าการส่งโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม โดยใช้แท็บเบราว์เซอร์ Chrome แยกกับบัญชี Google Ads
  2. ระบุช่องที่ป้อนข้อมูลลูกค้าในหน้าเว็บซึ่งคุณต้องการส่งไปยัง Google

ข้อมูลที่จำเป็น

  • ข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบุตัวบุคคลนั้นได้: ต้องมีฟิลด์ PII แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นอีเมล
  • Google Click ID (GCLID) หรือ GBRAID: ส่ง GCLID/GBRAID ต่อไปหากคุณจัดเก็บไว้แล้วและ/หรือบันทึกด้วยแท็ก Google
  • ชื่อ Conversion: ชื่อของการกระทำที่ถือเป็น Conversion (เช่น "ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่เข้าเกณฑ์" หรือ "ลงนามในสัญญา") ซึ่งคุณต้องการใช้สำหรับการนำเข้าข้อมูลออฟไลน์
  • เวลาที่เกิด Conversion: เลือกรูปแบบเวลาที่เรายอมรับ
  • เป้าหมาย Conversion: สําหรับผู้ลงโฆษณาที่ต้องการสร้างผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าซึ่งวัดเป้าหมายออฟไลน์ ให้ใช้เป้าหมายผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่เข้าเกณฑ์หรือผู้ที่กลายมาเป็นลูกค้า

ข้อมูลที่แนะนำ

  1. เมื่อระบุช่องข้อมูลลูกค้าในหน้าเว็บแล้ว คุณจะต้องทําตามขั้นตอนถัดไปเพื่อคัดลอกตัวเลือก CSS แล้วป้อนตัวเลือกเหล่านั้นลงใน Google Ads

ระบุตัวเลือก CSS ของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วและคัดลอกลงใน Google Ads

  1. ในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม เมื่อพบข้อมูลลูกค้าที่สอดคล้องกันที่ต้องการส่ง ให้ใช้เมาส์คลิกขวาที่ข้อมูลนั้นแล้วเลือกตรวจสอบ
    หมายเหตุ: หากคุณกําลังป้อนตัวเลือก CSS สําหรับอีเมลใน Google Ads ให้คลิกขวาที่อีเมลที่แสดงในหน้าโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม
  2. คุณจะเห็นเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Chrome เปิดขึ้นในเบราว์เซอร์ Chrome
  3. ระบบจะไฮไลต์โค้ดส่วนหนึ่งไว้ภายในซอร์สโค้ดที่แสดงอยู่ในหน้าเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Chrome โค้ดที่ไฮไลต์ไว้นี้มีตัวเลือก CSS สําหรับข้อมูลลูกค้าที่คุณได้คลิกขวาในขั้นตอนที่ 2 ของส่วนนี้
  4. วางเมาส์ไว้เหนือโค้ดที่ไฮไลต์ไว้ แล้วคลิกขวาที่โค้ดนั้น
  5. เลื่อนลงไปที่ “คัดลอก” แล้วเลือกตัวเลือก
  6. วางข้อความดังกล่าวไว้ในส่วน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วแบบอัตโนมัติของ Google Ads (บนแท็บอื่น) ในช่องที่สอดคล้องกัน
    • สำหรับการอ้างอิง ข้อความควรมีลักษณะคล้ายกับตัวอย่างนี้
      tsf > div:nth-child(2) > div.A8SBwf > div.RNNXgb > div > div.a4bIc > custEmail
  7. ทําตามขั้นตอนที่ 2-6 ของส่วนนี้สําหรับข้อมูลลูกค้าแต่ละประเภท (อีเมลหรือโทรศัพท์)
  8. คลิกบันทึกในบัญชี Google Ads

หมายเหตุ: แนวทางปฏิบัติแนะนำคือใช้แอตทริบิวต์รหัสเพื่อดึงค่าจากองค์ประกอบ DOM รหัสจะไม่ซ้ำกันและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไปน้อยกว่าพร็อพเพอร์ตี้อื่นๆ เช่น ชื่อคลาสหรือชื่อ รวมถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ด้วย ซึ่งหมายความว่าโค้ดจะยังใช้ได้อยู่แม้ว่าเลย์เอาต์ของหน้าเว็บจะเปลี่ยนไปก็ตาม

หากช่องยังไม่มีรหัส ให้เพิ่มรหัสโดยใช้แอตทริบิวต์ id ใน HTML ตัวอย่างเช่น

<input type="text" id="myTextField">

ตั้งค่า Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยแก้ไขโค้ดของเว็บไซต์

คุณสามารถติดตั้งใช้งาน Conversion ที่ปรับปรุงแล้วสำหรับโอกาสในการขายโดยใช้โค้ด JavaScript ที่กําหนดเองเพื่อเรียกใช้แท็ก Google โดยตรง (แบบฟอร์มที่โฮสต์โดยเครื่องมือของบุคคลที่สามหรือ iframe อาจกําหนดให้ต้องดำเนินการนี้) แทนการตรวจหาอัตโนมัติหรือผ่านตัวเลือก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีตรวจสอบการติดตั้งใช้งานโดยใช้เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Chrome

ระบุและกําหนดช่อง Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

ตรวจสอบว่าอีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ของคุณพร้อมใช้งานสําหรับโค้ดที่กําหนดเอง คุณจะส่งข้อมูลที่ไม่ได้แฮช (ซึ่ง Google จะทําให้เป็นมาตรฐานและแฮชก่อนที่จะไปถึงเซิร์ฟเวอร์) หรือข้อมูลมาตรฐานที่แฮชแล้วก็ได้ หากเลือกที่จะทําให้ข้อมูลเป็นมาตรฐานและแฮช ให้ทําตามวิธีการด้านล่าง

วิธีการทําให้เป็นมาตรฐาน

  • นําช่องว่างขึ้นต้นและต่อท้ายออก
  • แปลงข้อความให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก
  • จัดรูปแบบหมายเลขโทรศัพท์ตามมาตรฐานE.164

วิธีการแฮช

  • ใช้เลขฐานสิบหก SHA256

ตารางด้านล่างแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟิลด์ที่คุณกำหนดได้ คอลัมน์ "ชื่อคีย์" ระบุวิธีที่จะนำไปใช้อ้างอิงในข้อมูลโค้ด HTML ของ Conversion ที่ปรับปรุงแล้วซึ่งได้ร้บการสร้างขึ้นในขั้นตอนถัดไป โปรดทราบว่าข้อมูลทั้งหมดควรส่งเป็นประเภทสตริง

ฟิลด์ข้อมูล ชื่อคีย์ คำอธิบาย
อีเมล อีเมล

อีเมลผู้ใช้

เช่น ‘[email protected]

sha256_email_address

อีเมลผู้ใช้ที่แฮช

ตัวอย่าง

‘a8af8341993604f29cd4e0e5a5a4b5d48c575436c38b28abbfd7d481f345d5db’

หมายเลขโทรศัพท์ phone_number

หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ ต้องอยู่ในรูปแบบ E.164 ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นตัวเลข 11-15 หลัก โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นําหน้าและรหัสประเทศที่ไม่มีขีดกลางยาว วงเล็บ หรือเว้นวรรค

ตัวอย่าง ‘+11231234567’

sha256_phone_number

หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ที่แฮช

ตัวอย่าง

‘e9d3eef677f9a3b19820f92696be53d646ac4cea500e5f8fd08b00bc6ac773b1’

หมายเหตุ: คุณจะต้องตรวจสอบว่าข้อมูลลูกค้าพร้อมใช้งานเมื่อโค้ดที่กําหนดเองเริ่มทํางาน หากมีการรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ในหน้าเว็บหรือใน iframe ก่อนหน้า คุณต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นมีอยู่ในตัวแปรของโค้ดเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูล

ติดตั้งใช้งานสคริปต์ Conversion ที่ปรับปรุงแล้ว

กําหนดค่าและเพิ่มสคริปต์ต่อไปนี้ลงในตําแหน่งที่คุณต้องการให้แท็ก Google เริ่มทํางาน โปรดอัปเดตชื่อตัวแปรด้านล่างให้ตรงกับชื่อตัวแปรสําหรับแอตทริบิวต์เหล่านั้นในหน้าเว็บ

ตัวอย่างเช่น หากคุณจัดเก็บอีเมลไว้ในตัวแปรที่ชื่อ “email_address” ข้อมูลโค้ดก็ควรได้รับการแก้ไขให้สอดคล้องกับตัวแปรนั้น (เช่น ส่วนที่ระบุว่า yourEmailVariable)

หมายเหตุ: คุณยังฮาร์ดโค้ดฟิลด์ด้วยสตริงหรือใช้ฟังก์ชันแทนตัวแปรได้ด้วย

// ติดตั้งใช้งานออบเจ็กต์ข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": yourEmailVariable, ***เปลี่ยน yourEmailVariable เป็นชื่อตัวแปรจริงของ JavaScript ที่คุณจัดเก็บข้อมูลอีเมลของผู้ใช้ไว้ ให้ทำแบบเดียวกันนี้สำหรับตัวแปรอื่นๆ ด้านล่าง ตรวจสอบว่าไม่ได้มีการแฮชค่า

"phone_number": yourPhoneVariable, ***หมายเลขโทรศัพท์ต้องอยู่ในรูปแบบ E.164 ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นตัวเลข 11-15 หลัก โดยมีเครื่องหมายบวก (+) นําหน้าและรหัสประเทศที่ไม่มีขีดกลางยาว วงเล็บ หรือเว้นวรรค

});

</script>

// ส่งข้อมูลที่ได้จากผู้ใช้โดยใช้ข้อมูลโค้ดต่อไปนี้

<script>

gtag('event', 'form_submit', {'send_to': 'AW-ID'}); ***เก็บ AW- ไว้ตามเดิม และเปลี่ยนID เป็นรหัสแท็ก Google

</script>

หากเว็บไซต์ไม่ได้รวบรวมช่องใดช่องหนึ่งด้านบน ให้นำทั้งช่องออกแทนที่จะปล่อยให้ว่างไว้ เช่น เว็บไซต์ที่รวบรวมเฉพาะอีเมลจะมีลักษณะดังนี้

// Implement

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": {{ yourEmailVariable }}

});

</script>

หลายค่า

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ระบุค่าหลายค่าได้ (ไม่เกิน 3 ค่าสำหรับโทรศัพท์และอีเมล และ 2 ค่าสำหรับที่อยู่) โดยใช้ค่าอาร์เรย์แทนการใช้สตริง หากคุณบันทึกมากกว่า 1 ค่า จะเพิ่มโอกาสในการจับคู่มากยิ่งขึ้น ดูตัวอย่างด้านล่าง

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"email": [yourEmailVariable1, yourEmailVariable2]

"phone_number": [yourPhoneVariable1, yourPhoneVariable2]

});

</script>

โค้ดตัวอย่างของการให้ข้อมูลผู้ใช้ที่แฮชไว้ล่วงหน้าจะมีลักษณะดังนี้

// Implement

<script>

gtag('set', 'user_data', {

"sha256_email_address": {{ yourEmailVariable }},

"sha256_phone_number": {{ yourPhoneVariable }}

});

</script>

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Achieve your advertising goals today!

Attend our Performance Max Masterclass, a livestream workshop session bringing together industry and Google ads PMax experts.

Register now

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
เมนูหลัก
3403680550538183676
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false
true
false