SlideShare a Scribd company logo
www.phtnet.org
NewsletterNewsletter Postharvest Technology Innovation Center

Postharvest Technology Innovation Center

 15 3 - 2559
1- 3
2
4
5 - 7

 
สุมีชัย กิ่งสวรรค์1
และ กานดา หวังชัย1,2
(อ่านต่อหน้า 2)
บทคัดย่อ
	 ผลการศึกษาการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบ
ฟองไมโครต่อการยับยั้งการเจริญของPenicillium
digitatum โดยการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์จากสารละ
ลายโชเดียมคลอไรด์ความเข้มข้น5 เปอร์เซ็นต์ โดย
หลักการแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้าที่ใช้ขั้วบวก และ
ขั้วลบทำ�จากไททาเนียม ผ่านกระแสไฟฟ้า8 แอมแปร์
และกำ�ลังไฟฟ้า8 โวลต์ เป็นเวลา60 นาที และวัด
ค่าORP(Oxidation-ReductionPotential) และ
ค่าพีเอชเริ่มต้นได้เท่ากับ 225 มิลลิโวลต์และ 3.39
ตามลำ�ดับ ปรับความเข้มข้นของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์
ที่ผลิตได้ให้มีค่าคลอรีนอิสระทั้งหมดเท่ากับ100mg/l
เรื่องเต็มงานวิจัย
Effect of Electrolyzed Water with Microbubbles
on the Growth of Penicillium digitatum in Suspension
ผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์
แบบฟองไมโคร ต่อการเจริญ
ของเชื้อรา Penicillium digitatum
แบบแขวนลอย
1
สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  เชียงใหม่50200/ ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว สำ�นักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, กรุงเทพ 10400
2
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200
3
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เชียงใหม่  50200
หลังจากนั้นนำ�สารแขวนลอยของสปอร์เชื้อรา
P.digitatumปริมาณ105
สปอร์ต่อมิลลิลิตรมาผสมกับ
น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ในระบบไมโครที่มีขนาดฟองเท่ากับ
40-100 ไมโครเมตร แล้วบ่มเป็นเวลา5,10 และ15
นาที แล้วดูดส่วนผสมมา1 มิลลิลิตร เกลี่ยให้ทั่วบน
อาหารเลี้ยงเชื้อPDA และบ่มที่อุณหภูมิห้อง(28±2 ํC)
เป็นเวลา 72 ชั่วโมง นับการเจริญของเชื้อรา
เป็นจำ�นวนโคโลนีต่อมิลลิลิตร (CFU/ml) ผลการ
ทดลองพบว่าการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร
เป็นเวลา5 นาที สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อรา
ได้ดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ให้ฟองไมโคร
อย่างเดียวและชุดควบคุม (น้ำ�กลั่น) อย่างไรก็ตาม
การให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครเป็นเวลา
นานขึ้นทำ�ให้ประสิทธิภาพการยับยั้งการเจริญของ
เชื้อราลดลง ซึ่งสอดคล้องกับค่าORP ที่ลดลง และ
เมื่อนำ� P.digitatum ที่ผ่านการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์
แบบฟองไมโครมาตรวจดูใต้กล้องจุลทรรศน์แบบ
เลนส์ประกอบพบโครงสร้างของเส้นใยที่ผิดปกติ
อย่างเห็นได้ชัด
คำ�สำ�คัญ: น้ำ�อิเล็กโทรไลต์, Penicillium digitatum,
ฟองไมโคร
คำ�นำ�
	 ส้มเขียวหวานพันธุ์สายน้ำ�ผึ้งเป็นผลไม้
ได้รับความนิยมในการบริโภค ปัญหาหลักของการ
ผลิตส้มเขียวหวานพันธุ์สายน้ำ�ผึ้ง คือมีอายุการวาง
จำ�หน่ายสั้นเพียง4-7 วัน เนื่องจากพบการเกิดโรค
หลังการเก็บเกี่ยวที่สำ�คัญในระหว่างการเก็บรักษา
และการขนส่งออกจำ�หน่ายได้แก่ โรคเน่าที่เกิดจาก
เชื้อราPenicilliumdigitatum อาการของโรคหลัง
การเก็บเกี่ยวส่วนใหญ่เป็นอาการที่เกิดจากการเน่า
โดยเชื้อสาเหตุจะสร้างเอนไซม์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อ
ทำ�ลายส่วนที่เป็นเพกทิน ทำ�ให้เซลล์แยกออกจากกัน
เนื้อเยื่อยุบตัวลงทำ�ให้นิ่มเละ และส่งผลให้คุณภาพ
ของผลส้มลดลงไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและ
จำ�หน่ายไม่ได้ราคา
2
Newsletter

Newsletter

เรื่องเต็มงานวิจัย (ต่อจากหน้า 1)
สวัสดีครับ
	 Postharvest Newsletter ฉบับนี้ ในส่วนของนานาสาระเรานำ�เสนอบทความ
เรื่อง การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทย โดย ผศ.ดร. เสรี วงส์พิเชษฐ และ
พิศาล หมื่นแก้ว จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และในส่วนของเรื่องเต็มงานวิจัย นำ�เสนอผลงาน
เรื่อง ผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเจริญของเชื้อรา Penicilliumdigitatum
แบบแขวนลอย และมีงานวิจัยของศูนย์ฯ อีก 2 เรื่องครับ
	 ช่วงนี้ประเทศไทยของเราเป็นฤดูฝน อย่าลืมดูแลผลิตผลการเกษตรของท่าน
ที่อาจเสียหายจากความชื้นหรือน้ำ�ท่วมขัง ... และที่สำ�คัญดูแลสุขภาพกันด้วยครับ	
						 แล้วพบกันฉบับหน้าครับ
สาร...
จากบรรณาธิการ
Figure 1 	Effect of electrolyzed water and microbubbles on
colony forming unit of Penicillium digitatum with different
times
Figure 2 	EffectofelectrolyzedwaterandmicrobubblesonpH
with different times
Figure 3 	EffectofelectrolyzedwaterandmicrobubblesonORP
(oxidation-reduction potential) with different times
	 น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ (electrolyzed oxidizing water ; EO Water) เป็นน้ำ�ที่ผลิต
มาจากน้ำ�และเกลือที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้หลักการแยกสารด้วยประจุไฟฟ้า
ให้เกิดการแตกตัวของไอออนได้สาร HOCl (hypochlorus) ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า OCl-
ที่ได้จากการแตกตัวจาก NaOCl (sodium hypochlorite) และ Ca(OCl)2
(calcium
hypochlorite) (Grech and Rijkenberg, 1992; Kim et al., 2000)
	 เทคโนโลยีไมโครบับเบิล (microbubble ; MB) เป็นเทคโนโลยีในการทำ�ให้
เกิดฟองอากาศขนาดเล็กในวัสดุหรือสารตัวกลาง สมบัติพิเศษคือมีความคงตัวสูง แตกตัว
ช้าลงในน้ำ� และเพิ่มพื้นที่ผิวในการจับตัวกับสาร จึงทำ�ให้สามารถนำ�มาใช้ในการฆ่าเชื้อ
ก่อโรคในน้ำ�ได้มีประสิทธิภาพเป็นเวลานาน  Takahashi etal.(2007) พบว่าการให้โอโซน
แบบไมโครบับเบิลสามารถทำ�ให้ได้hydroxylradical มากกว่าแบบแมคโครบับเบิล โดย
hydroxylradical เป็นสารออกซิไดส์ที่แรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารชนิดอื่นๆ ที่สามารถ
ทำ�ลายสาร polyvinyl alcohol ซึ่งปกติจะสลายตัวได้ยากมากในสภาพธรรมชาติ ดังนั้น
งานวิจัยจึงได้ศึกษาผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ร่วมกับฟองไมโครในการควบคุมการเจริญ
ของเชื้อรา P. digitatum
อุปกรณ์และวิธีการ
1. การศึกษาระยะเวลาการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่เหมาะสมต่อการเจริญ
ของเชื้อรา P. digitatum
	 ผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ทำ�ได้โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้า8 แอมแปร์และ8 โวลต์
เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยใช้สารละลายเกลือแกง ความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ และ
ผ่านกระแสไฟฟ้าประจุบวกและลบ หลังจากนั้นนำ�น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ไปวัดความเข้มข้น
ของคลอรีนอิสระ ปรับให้ได้ความเข้มข้น 100 mg/l แล้วนำ�ไปผลิตแบบฟองไมโคร
เป็นเวลา0,5,10 และ15 นาที วัดการเปลี่ยนแปลงของค่าพีเอชและค่าORP(Oxidation-
ReductionPotential)โดยเตรียมsporesuspensionของเชื้อราP.digitatum(105
สปอร์/มล.)
จำ�นวน1 มล. ผสมกับน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร9 มล. ที่มีความเข้มข้น100mg/l
เป็นเวลา 0, 5, 10 และ 15 นาที เปรียบเทียบกับชุดที่ใชน้ำ�กลั่น แล้วใช้ไมโครปิเปตต์
ดูดสารละลายมา 0.1 มล. ผสมกับ Sodium thiosulfate 0.1 N ปริมาตร 0.9 มล.
แล้วใช้ไมโครปิเปตต์ดูดสารสะลายมา0.1 มลspreadplate บนPDA แล้วนำ�ไปบ่มที่27 ํC
เป็นเวลา 48 ชั่วโมงแล้วบันทึกการเจริญของเชื้อราโดยการนับจำ�นวนโคโลนีทั้งหมด
แล้วเปรียบเทียบชุดที่ใช้ฟองไมโครกับชุดควบคุม
2. ศึกษาการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างของเชื้อรา P. digitatum
	 แยกเชื้อราที่มีอายุ 4 - 5 วัน มาใส่ในแผ่นสไลด์
ที่ทำ�ความสะอาดแล้ว จากนั้นหยดน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ที่ผลิตได้จากข้อ1
ใช้แผ่น cover ปิดทับลงไปปล่อยไว้เป็นเวลา 30 นาที จากนั้น
นำ�แผ่นสไลด์ไปตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ
ผลการทดลอง
1. การศึกษาระยะเวลาการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่
เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อรา P. digitatum
	 หลังจากนำ� sporesuspension มาผสมกับน้ำ�อิเล็กโทรไลต์
ที่ผลิตแบบฟองไมโคร พบว่า น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร
สามารถยับยั้งการเจริญของราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ที่เวลา 5 นาที
ซึ่งมีค่าpH=3.39ORP=225mV เมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ให้ฟองไมโคร
อย่างเดียว และชุดควบคุม(น้ำ�กลั่น)(Figure1) รองมาคือ ชุดที่ใช้
ฟองไมโครบับเบิลอย่างเดียวสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราได้
20 เปอร์เซ็นต์ที่มีค่าpH=8.56ORP=-84.20mV เมื่อเปรียบเทียบกับ
ชุดควบคุมที่มีค่าpH=8.68ORP=-91.43mV ซึ่งฟองไมโครบับเบิล
มีสมบัติพิเศษคือมีความคงตัวสูงแตกตัวช้าลงในน้ำ� และพื้นที่ผิว
ในการจับตัวกับสารจึงทำ�ให้สามารถนำ�มาใช้ในการฆ่าเชื้อก่อโรค
ในน้ำ�ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเวลานาน และน้ำ�อิเล็กโทรไลต์
แบบฟองไมโครเมื่อระยะเวลานานจึงทำ�ให้ค่าpH เพิ่มขึ้น(Figure2)
แต่ค่า ORP ลดลง (Figure 3)
3Newsletter

Figure 4 	Microscopic photograph showing (a) the normal mycylia (b) broken
mycelia (c) the normal spore and (d) abnormal structure of spore after treating
with electrolyzed water with microbubble for 5 min and then placed on PDA plate
for 24 hours
2. การใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเชื้อรา
P. digitatum
	 หลังจากนำ�ราไปตรวจสอบใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบพบว่าเส้นใย
ของรามีลักษณะผิดปกติคือมีการแตกหัก และสปอร์มีลักษณะสีเข้มขึ้นจากเดิม(Figure4)
เอกสารอ้างอิง
Acher, A., E. Fisher, R. Turnheim and Y. 1997. Ecologically
	 friendlywastewaterdisinfectiontechniques.Water
	 research 31(6): 1398-1404.
Grech,N.M.andF.H.J.Rijkenburg.1992.Injectionofelectronically
	 generated chlorine into citrus micro–irrigation
	 systems for the control of certain waterborne root
	 pathogens. Plant Disease 76: 457-461.
Boqlang, L., L. Tongfei, Q. Guozheng and T. Shiping. 2009.
	 Ambient pH stress inhibits spore germination of
	 Penicilliumexpansumbyimpairingproteinsynthesis
	 and folding. A proteomic-based study Journal of
	 proteome research 9: 298-307.
Kim,C.,Y-C.HungandR.E.Brackett.2000.Rolesofoxidation-
	 reductionpotential(ORP)inelectrolyzedoxidizing
	 (EO)andchemicalmodifiedwaterfortheinactivation
	 offood-relatedpathogens.JournalofFoodProtection
	 63: 19-24.
Kobayashi, F., H. Ikeura, S. Ohsato, T. Goto and M. Tamaki,
	 2011. Disinfection using ozone microbubbles to
	 inactivate Fusarium oxysporum f. sp. melonis and
	 Pectobacteriumcarotovorumsubsp.carotovorum.
	 Crop Protection 30: 1514-1518.
Takahashi,M.,K.ChibaandP.Li.2007.Formationofhydroxyl
	 radicals by collapsing ozone microbubbles under
	 strongacidconditions.JournalofPhysicalChemistry
	 B. 111: 11443-11446.
Whangchai,K.,K.Saengnil,J.UthaibutraandC.Singkamanee.
	 2009.Useofelectrolyzedoxidizingwatertocontrol
	 postharvestdiseaseduringstorageoftangerinecv.
	 “Sai Nam Pung”. Acta Horticulturae 837: 211-215.
วิจารณ์ผล
	 การให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครในระยะเวลา5 นาที แรกมีประสิทธิภาพ
การยับยั้งการเจริญของเชื้อราPenicilliumdigitatum ได้ดีกว่าการใช้ฟองไมโครบับเบิล
อย่างเดียว เช่นเดียวกับที่Whangchai etal.(2009) รายงานพบว่าการล้างผลส้มเขียวหวาน
เป็นเวลา 8 นาที โดยใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคราสีเขียวที่เกิดจาก
เชื้อรา P.digitatum น้อยที่สุด เนื่องจากน้ำ�อิเล็กโทรไลต์มีค่าpH ที่ตำ�ทำ�ให้เยื่อหุ้มเซลล์
ของเชื้อจุลินทรีย์ยอมให้กรดไฮโปรคลอรัสเข้าไปในเซลล์ได้ง่ายขึ้นโดยกรดนี้มีผลไปออกซิไดส์
กรดนิวคลีอิค และโปรตีนทำ�ให้โปรตีนเสียสภาพ และเซลล์ถูกทำ�ลายในที่สุด (Acher et
al.,1997) อย่างไรก็ตามการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครเป็นระยะเวลานานขึ้น
อาจทำ�ให้สารคลอรีนอิสระระเหยส่งผลให้ประสิทธิภาพการยับยั้งการเจริญของเชื้อลดลง
	 ส่วนการใช้ฟองไมโครบับเบิลอย่างเดียวให้ผลรองลงมาในการยับยั้งการเจริญของ
เชื้อรา Penicilliumdigitatum โดยค่าpH กับORP ไม่แตกต่างกับชุดควบคุม เช่นเดียวกับ
Kobayashi etal.(2011) ที่รายงานว่าการใช้ไมโครบับเบิลโอโซนในการยับยั้งการเจริญ
ของเชื้อรา Fusarium oxysporum และPectobacterium carotovorum ในสารละลาย
ที่ใช้ปลูกพืชแบบไฮโดรโปรนิก พบว่าไมโครบับเบิลโอโซนสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ
ทั้งสองชนิดได้อย่างมีนัยสำ�คัญ
	 เมื่อนำ�เชื้อรา P.digitatum ที่ผ่านการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครมาตรวจดู
ใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ พบว่า โครงสร้างของเส้นใยผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
โดยเส้นใยมีลักษณะแตกหัก และ สปอร์มีสีเข้มขึ้นสอดคล้องกับผลการศึกษาของ
Boqlang et al. (2010) ที่รายงานว่า pH ที่ 2 - 8 สามารถยับยั้งการงอกของสปอร์
ของเชื้อรา Penicillium expansum โดยมีเส้นใยของเชื้อที่ยาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
a
c
b
d
สรุป
	 การใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่มีค่าคลอรีนอิสระ
เท่ากับ 100 mg/l เป็นเวลา 5 นาที สามารถยับยั้งการเจริญของ
เชื้อรา Penicillium digitatum ได้อย่างสมบูรณ์โดยให้ผลดีกว่า
การใช้ฟองไมโครอย่างเดียว และชุดควบคุมทำ�ให้โครงสร้างเส้นใย
ของเชื้อราผิดปกติโดยมีการแตกหัก และสปอร์มีลักษณะสีเข้มขึ้น
จากเดิม อย่างไรก็ตามการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร
เป็นเวลานานขึ้น ประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อราลดลง
คำ�ขอบคุณ
	 ขอขอบคุณห้องปฏิบัติการสรีรวิทยาหลังการเก็บเกี่ยว
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันวิจัยเทคโนโลยี
หลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำ�หรับการเอื้อเฟื้อสถานที่
และอุปกรณ์ในการทำ�วิจัย ขอขอบคุณรัฐบาลไทยภายใต้ความดูแล
ของสำ�นักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.)
สำ�หรับทุนสนับสนุนการศึกษาและศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยี
หลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำ�หรับทุนในการทำ�วิจัย
4
Newsletter

Newsletter

I พัฒนศักดิ์ ตันบุตร1
เฉลิมชัย วงษ์อารี1,2
วาริช ศรีละออง1,2
สุริยัณห์ สุภาพวานิช3
และพนิดา บุญฤทธิ์ธงไชย1,2
I รังสิมันตุ์ ธีระวงศ์ภิญโญ1
เนตรนภิส เขียวขำ�1,2
สมศิริ แสงโชติ1,2
วัศพล เบญจกุล1
มัณฑนา มาแม้น1
และ ดลฤดี ใจสุทธิ์1
บทคัดย่อ
	 ผลพุทรา(Zizyphusmauritiana Lamk.) หลังจากเก็บเกี่ยว
หากเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องจะมีการเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาที่อุณหภูมิตำ�ก็สามารถทำ�ให้ผลิตผล
เขตร้อนและกึ่งร้อน เช่น พุทรา เกิดความเสียหายจากอาการผิด
ปกติทางสรีรวิทยา ที่เรียกว่า อาการสะท้านหนาว ดังนั้น งานวิจัยนี้
จึงมุ่งเน้นไปที่การใช้สารเมทิลจัสโมเนตและกรดซาลิไซลิกเพื่อ
ลดอาการสะท้านหนาวของผลพุทราระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิตำ� 
นำ�ผลพุทราพันธุ์บอมแอปเปิลมาจุ่มในน้ำ�กลั่น (ชุดควบคุม) เมทิล
จัสโมเนต0.5,1.0 และ2.0 มิลลิโมลาร์ หรือ กรดซาลิไซลิก0.5,1.0
และ2.0 มิลลิโมลาร์ เป็นเวลา5 นาที ที่อุณหภูมิ20 องศาเซลเซียส
จากนั้นนำ�ไปใส่ตะกร้าพลาสติกคลุมด้วยถุงพอลิเอทิลีน เก็บรักษา
บทคัดย่อ
	 งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณเชื้อราบนเมล็ดข้าวเปลือก
จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงเก็บข้าวเปลือกระดับชุมชนด้วยการเป่าอากาศ
แวดล้อม เพื่อหาทางแก้ปัญหาการลดความชื้นข้าวเปลือกและการจัดการข้าวเปลือก
ในโรงเก็บของกลุ่มเกษตรกรที่ลดความชื้นแบบการตากลานซึ่งมีความเสี่ยงต่อความสูญเสีย
ด้านคุณภาพในการผลิตเมล็ดพันธุ์ การทดลองใช้ข้าวเปลือกพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105
(KDML105) และข้าวเหนียว กข6(RD6) ที่เก็บในยุ้งข้าวของเกษตรกร2 แห่ง  ในพื้นที่
บ้านโนนสูง ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ แต่ละยุ้งบรรจุข้าวเก็บเกี่ยวใหม่ประมาณ7 ตัน
เป่าอากาศแวดล้อมภายในยุ้ง เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทุกเดือน เป็นเวลานาน 4 เดือน
สุ่มตรวจบริเวณกลางกอง5 จุด และบนกอง3 จุด ตรวจปริมาณเชื้อราบนเมล็ดข้าวเปลือก
ที่ติดจากแปลงและเชื้อราโรงเก็บ ด้วยวิธี blotter จำ�แนกชนิดเชื้อราและปริมาณ
ของเมล็ดที่ติดเชื้อ ตรวจวัดความชื้นของเมล็ด และตรวจวัดความงอกของเมล็ด
1
สาขาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี   (บางขุนเทียน)49 ซอยเทียนทะเล25 ถนนบางขุนเทียน
ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150
2
ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวคณะกรรมการการอุดมศึกษากรุงเทพมหานคร
10400
3
สาขาวิชาครุศาสตร์เกษตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
เจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
1
ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
2
ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว สำ�นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุงเทพฯ 10400
งานวิจัยของศูนย์ฯ
การใช้สารเมทิลจัสโมเนต
และกรดซาลิไซลิกเพื่อ
ลดอาการสะท้านหนาว
ในพุทราพันธุ์บอมแอปเปิล
การเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อรา
บนเมล็ดข้าวเปลือก ระหว่างเก็บ
รักษาในยุ้งข้าวที่มีการลดความชื้น
ด้วยการเป่าอากาศแวดล้อม
ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส โดยบันทึกผลการทดลองทุกวัน พบว่า
ในวันที่ 5 หลังการเก็บรักษา ชุดควบคุมมีคะแนนการเกิดอาการ
สะท้านหนาวและการสูญเสียน้ำ�หนักสดสูงที่สุด(CIscore2.58 และ
3.77%) เมื่อเปรียบเทียบกับพุทราที่จุ่มเมทิลจัสโมเนตความเข้มข้น
0.5 มิลลิโมลาร์ (CI score 1.29 และ 2.83%) และกรดซาลิไซลิก
ความเข้มข้น 1.0 มิลลิโมลาร์ (CI score 1.50 และ 2.53%) ซึ่งมี
ประสิทธิภาพดีที่สุดในการชะลออาการสะท้านหนาว สีของผิวพุทรา
ในทุกวิธีการทดลองมีการเปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเป็นสีเขียวเหลือง
โดยเปลือกพุทรามีค่าL*chroma และhue ลดลงหลังการเก็บรักษา
ในขณะที่ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำ�ได้ทั้งหมด ปริมาณกรด
ที่ไทเทรตได้ และความแน่นเนื้อไม่แตกต่างกันทางสถิติในทุกวิธีการ
คำ�สำ�คัญ: พุทราพันธุ์บอมแอปเปิล เมทิลจัสโมเนต กรดซาลิไซลิก
เชื้อราที่พบมากที่สุดบนเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์KDML105 คือเชื้อราCladosporium sp.
Curvularia lunata และ Nigrospora sp. ร้อยละ 46.3 11.1 และ 7.5 ตามลำ�ดับ
ส่วนพันธุ์RD6 มีค่าร้อยละ17.58.7 และ15 ตามลำ�ดับ ปริมาณเชื้อรา Rhizopussp.
และ Penicillium atramentosum เพิ่มมากขึ้นเมื่อเก็บข้าวเปลือก 12 - 16 สัปดาห์
ค่า MC เริ่มต้นของเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์ KDML105 และ RD6 เมื่อนำ�มาเข้ายุ้งข้าว
มีค่าร้อยละ13.8 และ11.7 ตามลำ�ดับ ตลอดการเก็บรักษาพบว่าMC เฉลี่ยกลางกอง
และบนกองของเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์ KDML105 เท่ากับร้อยละ 12.55 และ 11.50
ตามลำ�ดับ ส่วนข้าวเปลือกพันธุ์ RD6 เท่ากับร้อยละ 11.30 และ 11.08 ตามลำ�ดับ
เมื่อวัดค่าความชื้นเฉลี่ยเปรียบเทียบก่อนและหลังการเป่าอากาศแวดล้อม พบว่า
ความชื้นลดลงร้อยละ 0-0.4 ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ความงอกของ
ข้าวเปลือกพันธุ์KDML105 และRD6  มีค่าสูงที่สุดคือร้อยละ96 และ88 ตามลำ�ดับ
เมื่อเก็บรักษานาน 16 สัปดาห์
คำ�สำ�คัญ : การติดเชื้อของเมล็ด ข้าวเปลือก ยุ้ง การเป่าลม
5Newsletter

I เสรี วงส์พิเชษฐ1, 2
พิศาล หมื่นแก้ว1, 2
นานาสาระ
1
ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2
กลุ่มวิจัยวิศวกรรมประยุกต์เพื่อพืชเศรษฐกิจที่สำ�คัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การพัฒนาเครื่องขุด
มันสำ�ปะหลังในประเทศไทย
	 ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยไทย
มีความพยายามพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตรสำ�หรับเก็บเกี่ยว
มันสำ�ปะหลังมาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมขุดมันสำ�ปะหลังขึ้นจากดิน
เป็นขั้นตอนแรกของการเก็บเกี่ยว และเป็นขั้นตอนที่ใช้แรงงาน
รวมทั้งค่าใช้จ่ายมากที่สุดของกระบวนการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง
	 ในช่วง 15 ปีหลัง ภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานของ
ภาคเกษตรกรรมไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่าย
ในกระบวนการเก็บเกี่ยวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำ�ให้มีการพัฒนา
เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังกันอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งสามารถลำ�ดับ
งานพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทย ได้ดังนี้
	 สมนึก(2537) ได้ออกแบบพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง
แบบขุดและลำ�เลียงออกด้านข้าง ให้พ้นแนวล้อของแทรกเตอร์ เครื่องขุด
ออกแบบให้ต่อพ่วงด้านหน้าเข้ากับชุดพ่วงใบมีดดันดิน มีลักษณะ
เครื่องฯ ดังภาพที่ 1
	 ส่วนประกอบเครื่องประกอบด้วยอุปกรณ์หลักอยู่2 อุปกรณ์
ประกอบด้วย
	 1) ผาลขุดแบบสามเหลี่ยมหน้ากว้าง 800 มม. โดยมีโซ่
ลำ�เลียงขนาดกว้าง 600 มม. ยาว 1,000 มม. วางทำ�มุม 30 องศา
กับแนวระนาบ ติดตั้งต่อจากผาลขุด
	 2) โซ่ลำ�เลียงหน้ากว้าง450 มม. ยาว2,000 มม. วางขวาง
โซ่ลำ�เลียงในแนวราบเพื่อลำ�เลียงเหง้ามันสำ�ปะหลังออกด้านข้าง
ให้พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน8 แรงม้าเป็นต้น
กำ�ลังขับเคลื่อนโซ่ลำ�เลียงทั้ง 2 ชุด
ภาพที่ 1 เครื่องขุดแบบพ่วงด้านหน้ารถแทรกเตอร์
จากการทดสอบเบื้องต้นพบว่าเครื่องขุดมีความสามารถในการทำ�งาน 0.83 ไร่/ชั่วโมง
ประสิทธิภาพการขุด 85.90 เปอร์เซ็นต์ มีมันสำ�ปะหลังสูญเสียรวมร้อยละ 15
	 ศุภวัฒน์ (2540) ได้ปรับปรุงเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังของ สมนึก (2537)
เพิ่มเติม โดยมีส่วนประกอบที่สำ�คัญประกอบด้วยหัวขุดมันสำ�ปะหลังรูปสามเหลี่ยม
มีหน้ากว้างในการทำ�งาน 1 เมตร โครงเครื่องมีหน้ากว้าง 2 เมตร มีอุปกรณ์ลำ�เลียงขึ้น
และอุปกรณ์ลำ�เลียงออกด้านข้างให้พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ โดยใช้โซ่ชุดลำ�เลียงเป็นโซ่
ขับอุปกรณ์ลำ�เลียง การขับชุดอุปกรณ์ลำ�เลียงใช้เครื่องยนต์เล็กขนาด 7.46 กิโลวัตต์
เป็นต้นกำ�ลัง (ภาพที่ 2) จากการทดสอบได้รายงานว่าความเร็วการทำ�งานที่เหมาะสม
0.46 เมตร/วินาที ความเร็วของอุปกรณ์ลำ�เลียง 0.70 เมตร/วินาที ความสามารถ
ในการทำ�งาน0.74 ไร่/ชั่วโมง และหัวมันสำ�ปะหลังที่หลงเหลือในดินเท่ากับ92.51,3.86 และ
3.63 เปอร์เซ็นต์ ตามลำ�ดับ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยระบุว่าเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังนี้
ยังไม่เหมาะสมที่จะนำ�มาใช้งาน ควรมีการพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังต่อไปให้สามารถ
ใช้งานทดแทนแรงงานคนได้
ภาพที่ 2 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง แบบใบขุดสามเหลี่ยมติดพ่วงด้านหน้าแทรกเตอร์
	 ศักดา และธัญญะ (2541) ได้รายงานการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการขุด
มันสำ�ปะหลังระหว่างการใช้แรงงานคนและเครื่องขุด พบว่าค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องขุด
จะลดลงจากการใช้แรงงานคนขุดและความต้องการแรงงานลดลงคิดเป็นร้อยละ 37.92
และ84.43 ตามลำ�ดับ แม้ว่าการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องขุดจะต้องใช้แรงงานคนคราวละ9 คน
ในการขับแทรกเตอร์ 1 คน และเก็บเหง้ามันฯ 8 คนแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพราะเครื่องขุด
จะสามารถเพิ่มความสามารถในการขุดจาก 0.05 ไร่/ชั่วโมง เป็น 2.59 ไร่/ชั่วโมง
	 ต่อมาศักดา และธัญญะ (2542) ได้พัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง
สั่นสะเทือน K.72 (ภาพที่ 3) แบบใช้พ่วงกับแขนพ่วงแบบ 3 จุดของแทรกเตอร์ขนาด
60-80 แรงม้า โดยอาศัยกำ�ลังขับจากเพลาอำ�นวยกำ�ลังมาขับชุดสั่นสะเทือนที่เป็นตุ้มน้ำ�
หนักรูปใบพัด ขนาดน้ำ�หนัก35 กิโลกรัม ติดตั้งด้านหลังของเครื่องขุด หมุนด้วยความเร็วรอบ
450 รอบ/นาที โดยผาลขุดเอียงทำ�มุม 15 องศากับพื้นราบ จากการทดสอบพบว่า
การประยุกต์ใช้ระบบสั่นสะเทือนทำ�ให้สามารถลดแรงฉุดลากของแทรกเตอร์ลง30 เปอร์เซ็นต์
การใช้น้ำ�มันเชื้อเพลิงลดลง15 เปอร์เซ็นต์ มีแนวโน้มทำ�ให้ความสามารถในการทำ�งานจริง
เพิ่มขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์ และมีความสูญเสียมันสำ�ปะหลังจากการขุด 3 เปอร์เซ็นต์
6
Newsletter

Newsletter

นานาสาระ
	 เสรี และสมนึก (2548) ได้พัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังเพิ่มเติม เนื่องจาก
เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่เกษตรกรนิยมใช้ขณะนั้นสามารถลำ�เลียงมันสำ�ปะหลังออกจาก
แนวร่องที่ขุดเพียง 600-700 มม. มีหัวมันสำ�ปะหลังหลงเหลือในร่องขุดร้อยละ 22-36
ซึ่งไม่พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ ทำ�ให้ต้องใช้แรงงานจำ�นวนมากเก็บมันสำ�ปะหลังออก
ก่อนที่แทรกเตอร์จะขุดแนวถัดไป ผลการพัฒนาได้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง มข.46 สำ�หรับ
ต่อพ่วงกับแทรกเตอร์ขนาด65 แรงม้าแบบ3 จุด ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำ�คัญ ประกอบด้วย
คานลาก โครง ซี่ลำ�เลียง และใบมีดตัดดิน ซึ่งสามารถส่งมันสำ�ปะหลังออกด้านข้าง
ได้ระยะ 700-800 มม. ซึ่งสามารถส่งพ้นแนวล้อแทรกเตอร์ได้หมด และตั้งชื่อเครื่องขุด
ว่า มข.46 (ภาพที่ 4)
ภาพที่ 4 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลังแบบ มข.46
	 เสรี และคำ�นึง (2550) ได้พัฒนาอุปกรณ์ขุดมันสําปะหลัง มข. 48 (ภาพที่ 5)
ซึ่งใช้รถแทรกเตอร์ขนาด 18-25 แรงม้า เป็นต้นกําลัง โดยให้สามารถใช้อุปกรณ์ขุด
มันสําปะหลัง ในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวตั้งแต่ 800 มม. ขึ้นไปได้ จากข้อ
จำ�กัดของขนาดรถแทรกเตอร์ที่เกษตรกรนิยมใช้มีขนาดใหญ่ ฐานล้อกว้าง สามารถทำ�งาน
ได้ดีเฉพาะแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวขนาด 1,000 มม. จึงต้องพัฒนาอุปกรณ์
ขุดมัน สําปะหลังขึ้นใหม่ที่ใช้แรงฉุดลากน้อยลง เพื่อให้สามารถใช้งานกับรถแทรกเตอร์
ขนาดเล็ก ได้ซึ่งรถ แทรกเตอร์ขนาดเล็กมีระยะห่างระหว่างล้อรถแทรกเตอร์แคบและ
สามารถนําอุปกรณ์ขุดฯเข้าไปทํางานในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวเพียง800 มม.ได้
	 จารุวัฒน์ และอนุชิต(2550) ได้สำ�รวจและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบ
การเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง พบว่ามีอยู่2 รูปแบบหลักได้แก่ การเก็บเกี่ยวแบบใช้แรงงานคน
ทุกขั้นตอน และการเก็บเกี่ยวแบบใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังช่วยในขั้นตอนการขุด ซึ่งรูปแบบ
ที่สองสามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ระดับหนึ่งประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์
ลดต้นทุนการผลิตลง 8 - 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีเกษตรกรทั้งในพื้นที่ที่มีการใช้เครื่อง
ขุดมันสำ�ปะหลังแล้วและในพื้นที่ที่ยังไม่มีการใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง ยังใช้วิธีเก็บเกี่ยว
ด้วยแรงงานคนทั้งหมด ซึ่งสาเหตุมาจากการไม่มีการเผยแพร่เครื่องขุด
มันสำ�ปะหลังที่มีประสิทธิภาพ และเกษตรกรบางส่วนอาจไม่ยอมรับ
ประสิทธิภาพของเครื่องขุดที่มีจำ�หน่ายในปัจจุบันที่ยังมีข้อจำ�กัด
การใช้งาน และอุปสรรคที่สำ�คัญคือเครื่องขุดที่มีจำ�หน่ายในปัจจุบัน
สามารถช่วยลดแรงงานในช่วงการขุดถอนจากดินเท่านั้น ส่วนการเก็บ
รวมกอง ตัดหัวมันออกจากเหง้าและขนย้ายขึ้นรถบรรทุกยังต้องใช้
แรงงานคนถึง2 ใน3 ส่วนของการเก็บเกี่ยวแบบใช้แรงงานคนทั้งหมด
เป็นปัญหาคอขวดให้เครื่องขุดไม่สามารถทำ�งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ภาพที่ 5 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.48
	 ในปี พ.ศ.2550-2552 อนุชิต และคณะ(2552) ได้พัฒนา
เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู ผลการศึกษาในขั้นตอนแรก
พบว่า การเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลังของเกษตรกรมี 2 รูปแบบหลัก
ได้แก่ รูปแบบที่ 1 การใช้แรงงานคนทุกขั้นตอน และรูปแบบที่ 2
การใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังฉุดลากด้วยแทรกเตอร์ในขั้นตอนการขุด
หัวมันสำ�ปะหลังออกจากดิน แล้วใช้แรงงานคนทั้งหมดในขั้นตอน
ที่เหลือ ซึ่งเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่เกษตรกรใช้งานมีหลากหลายแบบ
ส่วนใหญ่เป็นเครื่องขุดแบบคานเดี่ยว มีส่วนประกอบสำ�คัญ3 ส่วน
คือ โครงเครื่อง ขายึดผาลหรือขาไถ และผาลขุด ซึ่งผาลขุดหลักๆ
ที่พบการใช้งาน มีทั้งแบบขุดแล้วไม่พลิกดิน กับขุดแล้วมีการพลิกดิน
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการดัดแปลงพัฒนาเพิ่มเติมรวมทั้งการพัฒนาใหม่
อย่างต่อเนื่อง แสดงถึงการไม่มีเสถียรภาพด้านประสิทธิภาพการทำ�งาน
ของเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่มีการใช้งานในขณะนั้น ในขั้นตอนสุดท้าย
ของงานวิจัย อนุชิต และคณะ (2552) ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องขุด
มันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู ขึ้นมาเผยแพร่ (ภาพที่ 6) ปัจจุบัน
มีผู้ประกอบการบางแห่งนำ�ไปผลิตจำ�หน่าย
ภาพที่ 6 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู
ภาพที่ 3 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบสั่นสะเทือน
7Newsletter

นานาสาระ
	 เสรี (2551) ได้วิจัยและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง
โดยใช้รถไถเดินตามเป็นต้นกำ�ลัง และทดสอบการทำ�งานเครื่องขุด
มันสำ�ปะหลัง(ต้นแบบ) เปรียบเทียบกับวิธีการเก็บเกี่ยวที่เกษตรกร
นิยมปฏิบัติ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า อุปกรณ์ขุดฯที่พัฒนาขึ้นมา
มีอัตราการทำ�งานเร็วกว่าการขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้แรงงานคน
ในช่วง 5.50 - 8.00 เท่า และมีการสูญเสียจากการขุด ตำ�กว่า
การขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้แรงงานคนในช่วงร้อยละ 1.10 – 3.90
ทั้งนี้ขึ้นกับความแข็งของดินในแปลงเก็บเกี่ยว และตั้งชื่ออุปกรณ์
ขุดมันสำ�ปะหลังที่พัฒนาขึ้นมานี้ว่า อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.52
มีลักษณะดังภาพที่ 7 ซึ่งคล้ายกับไถหัวหมูเอเชีย
	 วิชา(2553) ได้ทำ�การออกแบบและพัฒนาเครื่องเก็บเกี่ยว
มันสำ�ปะหลัง (ภาพที่ 8) โดยมีสวนประกอบที่สำ�คัญ 2 ส่วน
คือ ผาลแซะดินซึ่งทำ�หน้าที่ตัดดินใต้รากมันฯ และโซ่ลำ�เลียงแบบคีบ
ทำ�หน้าที่คีบเหง้ามันและดึงขึ้นไปวางรายที่ด้านหลังของแถวที่ทำ�การขุด
ในลักษณะที่ละแถว โดยไม่มีการรวมแถว เครื่องฯถูกติดตั้งเข้า
กับแทรกเตอร์ด้วยวิธีการต่อพ่วง 3 จุด จากการทดสอบในแปลง
มีรายงานว่ามีอัตราการทำ�งาน0.5ไร่/ชั่วโมงโดยมีความเร็วในการเคลื่อนที่
0.17 เมตร/วินาที และต้องใช้งานในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่าง
แถว 1.2 เมตร ขึ้นไป
ภาพที่ 7 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.52
	 การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทยมีลำ�ดับขั้นตอนการพัฒนามา
พอสมควร เพื่อพยายามหาเครื่องที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลังที่มีค่าแรง
เกือบครึ่งอยู่ที่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ซึ่งเครื่องขุดที่พัฒนามีหลายรูปแบบปรับตามสภาพดิน
และต้นกำ�ลังที่ใช้ และมีแนวโน้มต่อไปในอนาคตที่จะต้องมีการพัฒนาเครื่องที่สามารถ
ทั้งขุด รวมกอง และตัดเหง้า รวมทั้งบรรทุกออกจากแปลงได้ในเครื่องเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่
ท้าทายนักวิจัยไทยต่อไป
ภาพที่ 8 เครื่องเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง
เอกสารอ้างอิง
จารุวัฒน์ มงคลธนทรรศ และ อนุชิต ฉำ�สิงห์.2550. เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง. กสิกร  80(5):
	 89 – 102.
วิชา หมั่นทำ�การ. 2553. เครื่องเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
	 [Online]. Available at: http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch53/
	 group06/wichar/index_04.html [Accessed 29/11/58]
ศักดา อินทรวิชัย และธัญญะ เกียรติวัฒน์.2542. เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบสั่นสะเทือน
	 K.72. รายงานประจำ�ปีสมาคมการค้ามันสำ�ปะหลังไทย กรุงเทพฯ: สมาคมการค้า
	 มันสำ�ปะหลังไทย. หน้า 88-94.
ศุภวัฒน์ ปากเมย.2540. การออกแบบและประเมินผลเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง. วิทยานิพนธ์
	 วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต (วิศวกรรมเครื่องจักรกลเกษตร), มหาวิทยาลัย
	 ขอนแก่น. 125 หน้า
สมนึก ชูศิลป์.2537. การออกแบบและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง[แผ่นพับ]. กรุงเทพฯ:
	 สำ�นักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ
	 สิ่งแวดล้อม;
เสรี วงส์พิเชษฐ และสมนึก  ชูศิลป์.2548. การพัฒนากระบวนการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง
	 ด้วยเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง[รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. คณะวิศวกรรมศาสตร์,
	 มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 11 หน้า.
เสรี วงส์พิเชษฐ และคำ�นึง วาทโยธา. 2550. การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้
	 รถแทรกเตอร์เล็กเป็นต้นกำ�ลัง [รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. ขอนแก่น:
	 ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยขอนแก่น.9 หน้า.
เสรี วงส์พิเชษฐ. 2551. การวิจัยและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้รถไถเดินตาม
	 เป็นต้นกำ�ลัง [รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. ขอนแก่น: ศูนย์นวัตกรรมและ
	 เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยขอนแก่น. 34 หน้า.
อนุชิต ฉำ�สิงห์, อัคคพล เสนาณรงค์, สุภาษิต เสงี่ยมพงษ์, พักตร์วิภา สุทธิวารี, ยุทธนา
	 เครือหาญชาญพงค์ และ ขนิษฐ์ หว่านณรงค์. 2552. วิจัยและพัฒนา
	 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู[รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. กรุงเทพฯ:
	 กลุ่มวิจัยวิศวกรรมผลิตพืชสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม. 53 หน้า.
Postharvest Technology Innovation Center
: .
: . . .
: :
: PHT Newsletter
239 50200 +66(0)5394-1448 +66(0)5394-1447 E-mail : phtic@phtnet.org http://www.phtnet.org
ข่าวประชาสัมพันธ์
	 ศาสตราจารย์ ดร.ดนัย บุณยเกียรติ ผู้อำ�นวยการศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เข้าร่วมงานประชุมวิชาการVIIIInternational
Postharvest Symposium ณ ประเทศสเปน ระหว่างวันที่  21-24 มิถุนายน 2559 และนำ�เสนอผลงานในหัวข้อ Research and Development
on Postharvest Management of the Royal Project Flowers
	 ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว:หน่วยงานร่วมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
และรักษาคุณภาพทุเรียนตัดแต่งสด” โดยมีบุคลากรจากบริษัท นิร์วานา จำ�กัด เข้าร่วม
ฝึกอบรม เมื่อวันที่  12 กรกฎาคม  2559 เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับความรู้เกี่ยวกับ
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาคุณภาพทุเรียนตัดแต่งสด
เพื่อการส่งออก และสามารถจัดการกับผลิตผลสด ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
	 ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว: หน่วยงานร่วม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “ระบบมาตรฐาน
สินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย” เมื่อวันที่  7 กันยายน  2559
ณองค์การบริหารส่วนตำ�บลแม่คะตวนอำ�เภอสบเมยจังหวัดแม่ฮ่องสอน
โดยมีเกษตรกรและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมจำ�นวน 30 คน ทั้งนี้เพื่อให้
ผู้เข้าร่วมการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ และสร้างเสริมประสบการณ์
ด้านการระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรและมาตรฐานอาหารปลอดภัย

More Related Content

PPT
Project Presentation
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2568
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 24 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2568
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2567
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม -กันยายน 2567
PDF
หนังสือทุเรียน การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2567
PDF
บทคัดย่อการประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 21
Project Presentation
Postharvest Newsletter ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2568
Postharvest Newsletter ปีที่ 24 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2568
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2567
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม -กันยายน 2567
หนังสือทุเรียน การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน 2567
บทคัดย่อการประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 21

More from Postharvest Technology Innovation Center (20)

PDF
กำหนดการ “การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 21”
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2567
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 22 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน 2566
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลส้มเปลือกล่อน
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพด
PDF
Postharvest Newsletter ปีที่ 22 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2566
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวอ้อย
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าว
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวบรอกโคลี
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวคะน้า
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดขาวปลี
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพดฝักอ่อน
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดหอมใบ
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวกะหล่ำปลี
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดหอมห่อ
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลอะโวกาโด
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลสตรอว์เบอร์รี
PDF
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลแก้วมังกร
กำหนดการ “การประชุมวิชาการวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแห่งชาติ ครั้งที่ 21”
Postharvest Newsletter ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2567
Postharvest Newsletter ปีที่ 22 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน 2566
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลส้มเปลือกล่อน
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพด
Postharvest Newsletter ปีที่ 22 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2566
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวอ้อย
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าว
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวบรอกโคลี
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวคะน้า
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดขาวปลี
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพดฝักอ่อน
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดหอมใบ
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวกะหล่ำปลี
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผักกาดหอมห่อ
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลอะโวกาโด
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลสตรอว์เบอร์รี
ข้อมูลการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวผลแก้วมังกร
Ad

Postharvest Newsletter ปีที่ 15 ฉบับที่ 3

  • 1. www.phtnet.org NewsletterNewsletter Postharvest Technology Innovation Center  Postharvest Technology Innovation Center   15 3 - 2559 1- 3 2 4 5 - 7    สุมีชัย กิ่งสวรรค์1 และ กานดา หวังชัย1,2 (อ่านต่อหน้า 2) บทคัดย่อ ผลการศึกษาการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบ ฟองไมโครต่อการยับยั้งการเจริญของPenicillium digitatum โดยการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์จากสารละ ลายโชเดียมคลอไรด์ความเข้มข้น5 เปอร์เซ็นต์ โดย หลักการแยกสารด้วยกระแสไฟฟ้าที่ใช้ขั้วบวก และ ขั้วลบทำ�จากไททาเนียม ผ่านกระแสไฟฟ้า8 แอมแปร์ และกำ�ลังไฟฟ้า8 โวลต์ เป็นเวลา60 นาที และวัด ค่าORP(Oxidation-ReductionPotential) และ ค่าพีเอชเริ่มต้นได้เท่ากับ 225 มิลลิโวลต์และ 3.39 ตามลำ�ดับ ปรับความเข้มข้นของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ ที่ผลิตได้ให้มีค่าคลอรีนอิสระทั้งหมดเท่ากับ100mg/l เรื่องเต็มงานวิจัย Effect of Electrolyzed Water with Microbubbles on the Growth of Penicillium digitatum in Suspension ผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ แบบฟองไมโคร ต่อการเจริญ ของเชื้อรา Penicillium digitatum แบบแขวนลอย 1 สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่50200/ ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว สำ�นักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา, กรุงเทพ 10400 2 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200 3 ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200 หลังจากนั้นนำ�สารแขวนลอยของสปอร์เชื้อรา P.digitatumปริมาณ105 สปอร์ต่อมิลลิลิตรมาผสมกับ น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ในระบบไมโครที่มีขนาดฟองเท่ากับ 40-100 ไมโครเมตร แล้วบ่มเป็นเวลา5,10 และ15 นาที แล้วดูดส่วนผสมมา1 มิลลิลิตร เกลี่ยให้ทั่วบน อาหารเลี้ยงเชื้อPDA และบ่มที่อุณหภูมิห้อง(28±2 ํC) เป็นเวลา 72 ชั่วโมง นับการเจริญของเชื้อรา เป็นจำ�นวนโคโลนีต่อมิลลิลิตร (CFU/ml) ผลการ ทดลองพบว่าการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร เป็นเวลา5 นาที สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อรา ได้ดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ให้ฟองไมโคร อย่างเดียวและชุดควบคุม (น้ำ�กลั่น) อย่างไรก็ตาม การให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครเป็นเวลา นานขึ้นทำ�ให้ประสิทธิภาพการยับยั้งการเจริญของ เชื้อราลดลง ซึ่งสอดคล้องกับค่าORP ที่ลดลง และ เมื่อนำ� P.digitatum ที่ผ่านการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ แบบฟองไมโครมาตรวจดูใต้กล้องจุลทรรศน์แบบ เลนส์ประกอบพบโครงสร้างของเส้นใยที่ผิดปกติ อย่างเห็นได้ชัด คำ�สำ�คัญ: น้ำ�อิเล็กโทรไลต์, Penicillium digitatum, ฟองไมโคร คำ�นำ� ส้มเขียวหวานพันธุ์สายน้ำ�ผึ้งเป็นผลไม้ ได้รับความนิยมในการบริโภค ปัญหาหลักของการ ผลิตส้มเขียวหวานพันธุ์สายน้ำ�ผึ้ง คือมีอายุการวาง จำ�หน่ายสั้นเพียง4-7 วัน เนื่องจากพบการเกิดโรค หลังการเก็บเกี่ยวที่สำ�คัญในระหว่างการเก็บรักษา และการขนส่งออกจำ�หน่ายได้แก่ โรคเน่าที่เกิดจาก เชื้อราPenicilliumdigitatum อาการของโรคหลัง การเก็บเกี่ยวส่วนใหญ่เป็นอาการที่เกิดจากการเน่า โดยเชื้อสาเหตุจะสร้างเอนไซม์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อ ทำ�ลายส่วนที่เป็นเพกทิน ทำ�ให้เซลล์แยกออกจากกัน เนื้อเยื่อยุบตัวลงทำ�ให้นิ่มเละ และส่งผลให้คุณภาพ ของผลส้มลดลงไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและ จำ�หน่ายไม่ได้ราคา
  • 2. 2 Newsletter  Newsletter  เรื่องเต็มงานวิจัย (ต่อจากหน้า 1) สวัสดีครับ Postharvest Newsletter ฉบับนี้ ในส่วนของนานาสาระเรานำ�เสนอบทความ เรื่อง การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทย โดย ผศ.ดร. เสรี วงส์พิเชษฐ และ พิศาล หมื่นแก้ว จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และในส่วนของเรื่องเต็มงานวิจัย นำ�เสนอผลงาน เรื่อง ผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเจริญของเชื้อรา Penicilliumdigitatum แบบแขวนลอย และมีงานวิจัยของศูนย์ฯ อีก 2 เรื่องครับ ช่วงนี้ประเทศไทยของเราเป็นฤดูฝน อย่าลืมดูแลผลิตผลการเกษตรของท่าน ที่อาจเสียหายจากความชื้นหรือน้ำ�ท่วมขัง ... และที่สำ�คัญดูแลสุขภาพกันด้วยครับ แล้วพบกันฉบับหน้าครับ สาร... จากบรรณาธิการ Figure 1 Effect of electrolyzed water and microbubbles on colony forming unit of Penicillium digitatum with different times Figure 2 EffectofelectrolyzedwaterandmicrobubblesonpH with different times Figure 3 EffectofelectrolyzedwaterandmicrobubblesonORP (oxidation-reduction potential) with different times น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ (electrolyzed oxidizing water ; EO Water) เป็นน้ำ�ที่ผลิต มาจากน้ำ�และเกลือที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้หลักการแยกสารด้วยประจุไฟฟ้า ให้เกิดการแตกตัวของไอออนได้สาร HOCl (hypochlorus) ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า OCl- ที่ได้จากการแตกตัวจาก NaOCl (sodium hypochlorite) และ Ca(OCl)2 (calcium hypochlorite) (Grech and Rijkenberg, 1992; Kim et al., 2000) เทคโนโลยีไมโครบับเบิล (microbubble ; MB) เป็นเทคโนโลยีในการทำ�ให้ เกิดฟองอากาศขนาดเล็กในวัสดุหรือสารตัวกลาง สมบัติพิเศษคือมีความคงตัวสูง แตกตัว ช้าลงในน้ำ� และเพิ่มพื้นที่ผิวในการจับตัวกับสาร จึงทำ�ให้สามารถนำ�มาใช้ในการฆ่าเชื้อ ก่อโรคในน้ำ�ได้มีประสิทธิภาพเป็นเวลานาน Takahashi etal.(2007) พบว่าการให้โอโซน แบบไมโครบับเบิลสามารถทำ�ให้ได้hydroxylradical มากกว่าแบบแมคโครบับเบิล โดย hydroxylradical เป็นสารออกซิไดส์ที่แรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารชนิดอื่นๆ ที่สามารถ ทำ�ลายสาร polyvinyl alcohol ซึ่งปกติจะสลายตัวได้ยากมากในสภาพธรรมชาติ ดังนั้น งานวิจัยจึงได้ศึกษาผลของน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ร่วมกับฟองไมโครในการควบคุมการเจริญ ของเชื้อรา P. digitatum อุปกรณ์และวิธีการ 1. การศึกษาระยะเวลาการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่เหมาะสมต่อการเจริญ ของเชื้อรา P. digitatum ผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ทำ�ได้โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้า8 แอมแปร์และ8 โวลต์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยใช้สารละลายเกลือแกง ความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ และ ผ่านกระแสไฟฟ้าประจุบวกและลบ หลังจากนั้นนำ�น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ไปวัดความเข้มข้น ของคลอรีนอิสระ ปรับให้ได้ความเข้มข้น 100 mg/l แล้วนำ�ไปผลิตแบบฟองไมโคร เป็นเวลา0,5,10 และ15 นาที วัดการเปลี่ยนแปลงของค่าพีเอชและค่าORP(Oxidation- ReductionPotential)โดยเตรียมsporesuspensionของเชื้อราP.digitatum(105 สปอร์/มล.) จำ�นวน1 มล. ผสมกับน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร9 มล. ที่มีความเข้มข้น100mg/l เป็นเวลา 0, 5, 10 และ 15 นาที เปรียบเทียบกับชุดที่ใชน้ำ�กลั่น แล้วใช้ไมโครปิเปตต์ ดูดสารละลายมา 0.1 มล. ผสมกับ Sodium thiosulfate 0.1 N ปริมาตร 0.9 มล. แล้วใช้ไมโครปิเปตต์ดูดสารสะลายมา0.1 มลspreadplate บนPDA แล้วนำ�ไปบ่มที่27 ํC เป็นเวลา 48 ชั่วโมงแล้วบันทึกการเจริญของเชื้อราโดยการนับจำ�นวนโคโลนีทั้งหมด แล้วเปรียบเทียบชุดที่ใช้ฟองไมโครกับชุดควบคุม 2. ศึกษาการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างของเชื้อรา P. digitatum แยกเชื้อราที่มีอายุ 4 - 5 วัน มาใส่ในแผ่นสไลด์ ที่ทำ�ความสะอาดแล้ว จากนั้นหยดน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ที่ผลิตได้จากข้อ1 ใช้แผ่น cover ปิดทับลงไปปล่อยไว้เป็นเวลา 30 นาที จากนั้น นำ�แผ่นสไลด์ไปตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ ผลการทดลอง 1. การศึกษาระยะเวลาการผลิตน้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่ เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อรา P. digitatum หลังจากนำ� sporesuspension มาผสมกับน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ ที่ผลิตแบบฟองไมโคร พบว่า น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร สามารถยับยั้งการเจริญของราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ที่เวลา 5 นาที ซึ่งมีค่าpH=3.39ORP=225mV เมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ให้ฟองไมโคร อย่างเดียว และชุดควบคุม(น้ำ�กลั่น)(Figure1) รองมาคือ ชุดที่ใช้ ฟองไมโครบับเบิลอย่างเดียวสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราได้ 20 เปอร์เซ็นต์ที่มีค่าpH=8.56ORP=-84.20mV เมื่อเปรียบเทียบกับ ชุดควบคุมที่มีค่าpH=8.68ORP=-91.43mV ซึ่งฟองไมโครบับเบิล มีสมบัติพิเศษคือมีความคงตัวสูงแตกตัวช้าลงในน้ำ� และพื้นที่ผิว ในการจับตัวกับสารจึงทำ�ให้สามารถนำ�มาใช้ในการฆ่าเชื้อก่อโรค ในน้ำ�ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเวลานาน และน้ำ�อิเล็กโทรไลต์ แบบฟองไมโครเมื่อระยะเวลานานจึงทำ�ให้ค่าpH เพิ่มขึ้น(Figure2) แต่ค่า ORP ลดลง (Figure 3)
  • 3. 3Newsletter  Figure 4 Microscopic photograph showing (a) the normal mycylia (b) broken mycelia (c) the normal spore and (d) abnormal structure of spore after treating with electrolyzed water with microbubble for 5 min and then placed on PDA plate for 24 hours 2. การใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเชื้อรา P. digitatum หลังจากนำ�ราไปตรวจสอบใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบพบว่าเส้นใย ของรามีลักษณะผิดปกติคือมีการแตกหัก และสปอร์มีลักษณะสีเข้มขึ้นจากเดิม(Figure4) เอกสารอ้างอิง Acher, A., E. Fisher, R. Turnheim and Y. 1997. Ecologically friendlywastewaterdisinfectiontechniques.Water research 31(6): 1398-1404. Grech,N.M.andF.H.J.Rijkenburg.1992.Injectionofelectronically generated chlorine into citrus micro–irrigation systems for the control of certain waterborne root pathogens. Plant Disease 76: 457-461. Boqlang, L., L. Tongfei, Q. Guozheng and T. Shiping. 2009. Ambient pH stress inhibits spore germination of Penicilliumexpansumbyimpairingproteinsynthesis and folding. A proteomic-based study Journal of proteome research 9: 298-307. Kim,C.,Y-C.HungandR.E.Brackett.2000.Rolesofoxidation- reductionpotential(ORP)inelectrolyzedoxidizing (EO)andchemicalmodifiedwaterfortheinactivation offood-relatedpathogens.JournalofFoodProtection 63: 19-24. Kobayashi, F., H. Ikeura, S. Ohsato, T. Goto and M. Tamaki, 2011. Disinfection using ozone microbubbles to inactivate Fusarium oxysporum f. sp. melonis and Pectobacteriumcarotovorumsubsp.carotovorum. Crop Protection 30: 1514-1518. Takahashi,M.,K.ChibaandP.Li.2007.Formationofhydroxyl radicals by collapsing ozone microbubbles under strongacidconditions.JournalofPhysicalChemistry B. 111: 11443-11446. Whangchai,K.,K.Saengnil,J.UthaibutraandC.Singkamanee. 2009.Useofelectrolyzedoxidizingwatertocontrol postharvestdiseaseduringstorageoftangerinecv. “Sai Nam Pung”. Acta Horticulturae 837: 211-215. วิจารณ์ผล การให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครในระยะเวลา5 นาที แรกมีประสิทธิภาพ การยับยั้งการเจริญของเชื้อราPenicilliumdigitatum ได้ดีกว่าการใช้ฟองไมโครบับเบิล อย่างเดียว เช่นเดียวกับที่Whangchai etal.(2009) รายงานพบว่าการล้างผลส้มเขียวหวาน เป็นเวลา 8 นาที โดยใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์ มีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคราสีเขียวที่เกิดจาก เชื้อรา P.digitatum น้อยที่สุด เนื่องจากน้ำ�อิเล็กโทรไลต์มีค่าpH ที่ตำ�ทำ�ให้เยื่อหุ้มเซลล์ ของเชื้อจุลินทรีย์ยอมให้กรดไฮโปรคลอรัสเข้าไปในเซลล์ได้ง่ายขึ้นโดยกรดนี้มีผลไปออกซิไดส์ กรดนิวคลีอิค และโปรตีนทำ�ให้โปรตีนเสียสภาพ และเซลล์ถูกทำ�ลายในที่สุด (Acher et al.,1997) อย่างไรก็ตามการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครเป็นระยะเวลานานขึ้น อาจทำ�ให้สารคลอรีนอิสระระเหยส่งผลให้ประสิทธิภาพการยับยั้งการเจริญของเชื้อลดลง ส่วนการใช้ฟองไมโครบับเบิลอย่างเดียวให้ผลรองลงมาในการยับยั้งการเจริญของ เชื้อรา Penicilliumdigitatum โดยค่าpH กับORP ไม่แตกต่างกับชุดควบคุม เช่นเดียวกับ Kobayashi etal.(2011) ที่รายงานว่าการใช้ไมโครบับเบิลโอโซนในการยับยั้งการเจริญ ของเชื้อรา Fusarium oxysporum และPectobacterium carotovorum ในสารละลาย ที่ใช้ปลูกพืชแบบไฮโดรโปรนิก พบว่าไมโครบับเบิลโอโซนสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ ทั้งสองชนิดได้อย่างมีนัยสำ�คัญ เมื่อนำ�เชื้อรา P.digitatum ที่ผ่านการให้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครมาตรวจดู ใต้กล้องจุลทรรศน์แบบเลนส์ประกอบ พบว่า โครงสร้างของเส้นใยผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยเส้นใยมีลักษณะแตกหัก และ สปอร์มีสีเข้มขึ้นสอดคล้องกับผลการศึกษาของ Boqlang et al. (2010) ที่รายงานว่า pH ที่ 2 - 8 สามารถยับยั้งการงอกของสปอร์ ของเชื้อรา Penicillium expansum โดยมีเส้นใยของเชื้อที่ยาวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด a c b d สรุป การใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโครที่มีค่าคลอรีนอิสระ เท่ากับ 100 mg/l เป็นเวลา 5 นาที สามารถยับยั้งการเจริญของ เชื้อรา Penicillium digitatum ได้อย่างสมบูรณ์โดยให้ผลดีกว่า การใช้ฟองไมโครอย่างเดียว และชุดควบคุมทำ�ให้โครงสร้างเส้นใย ของเชื้อราผิดปกติโดยมีการแตกหัก และสปอร์มีลักษณะสีเข้มขึ้น จากเดิม อย่างไรก็ตามการใช้น้ำ�อิเล็กโทรไลต์แบบฟองไมโคร เป็นเวลานานขึ้น ประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อราลดลง คำ�ขอบคุณ ขอขอบคุณห้องปฏิบัติการสรีรวิทยาหลังการเก็บเกี่ยว ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันวิจัยเทคโนโลยี หลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำ�หรับการเอื้อเฟื้อสถานที่ และอุปกรณ์ในการทำ�วิจัย ขอขอบคุณรัฐบาลไทยภายใต้ความดูแล ของสำ�นักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) สำ�หรับทุนสนับสนุนการศึกษาและศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยี หลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำ�หรับทุนในการทำ�วิจัย
  • 4. 4 Newsletter  Newsletter  I พัฒนศักดิ์ ตันบุตร1 เฉลิมชัย วงษ์อารี1,2 วาริช ศรีละออง1,2 สุริยัณห์ สุภาพวานิช3 และพนิดา บุญฤทธิ์ธงไชย1,2 I รังสิมันตุ์ ธีระวงศ์ภิญโญ1 เนตรนภิส เขียวขำ�1,2 สมศิริ แสงโชติ1,2 วัศพล เบญจกุล1 มัณฑนา มาแม้น1 และ ดลฤดี ใจสุทธิ์1 บทคัดย่อ ผลพุทรา(Zizyphusmauritiana Lamk.) หลังจากเก็บเกี่ยว หากเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องจะมีการเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาที่อุณหภูมิตำ�ก็สามารถทำ�ให้ผลิตผล เขตร้อนและกึ่งร้อน เช่น พุทรา เกิดความเสียหายจากอาการผิด ปกติทางสรีรวิทยา ที่เรียกว่า อาการสะท้านหนาว ดังนั้น งานวิจัยนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่การใช้สารเมทิลจัสโมเนตและกรดซาลิไซลิกเพื่อ ลดอาการสะท้านหนาวของผลพุทราระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิตำ� นำ�ผลพุทราพันธุ์บอมแอปเปิลมาจุ่มในน้ำ�กลั่น (ชุดควบคุม) เมทิล จัสโมเนต0.5,1.0 และ2.0 มิลลิโมลาร์ หรือ กรดซาลิไซลิก0.5,1.0 และ2.0 มิลลิโมลาร์ เป็นเวลา5 นาที ที่อุณหภูมิ20 องศาเซลเซียส จากนั้นนำ�ไปใส่ตะกร้าพลาสติกคลุมด้วยถุงพอลิเอทิลีน เก็บรักษา บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณเชื้อราบนเมล็ดข้าวเปลือก จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงเก็บข้าวเปลือกระดับชุมชนด้วยการเป่าอากาศ แวดล้อม เพื่อหาทางแก้ปัญหาการลดความชื้นข้าวเปลือกและการจัดการข้าวเปลือก ในโรงเก็บของกลุ่มเกษตรกรที่ลดความชื้นแบบการตากลานซึ่งมีความเสี่ยงต่อความสูญเสีย ด้านคุณภาพในการผลิตเมล็ดพันธุ์ การทดลองใช้ข้าวเปลือกพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 (KDML105) และข้าวเหนียว กข6(RD6) ที่เก็บในยุ้งข้าวของเกษตรกร2 แห่ง ในพื้นที่ บ้านโนนสูง ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ แต่ละยุ้งบรรจุข้าวเก็บเกี่ยวใหม่ประมาณ7 ตัน เป่าอากาศแวดล้อมภายในยุ้ง เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทุกเดือน เป็นเวลานาน 4 เดือน สุ่มตรวจบริเวณกลางกอง5 จุด และบนกอง3 จุด ตรวจปริมาณเชื้อราบนเมล็ดข้าวเปลือก ที่ติดจากแปลงและเชื้อราโรงเก็บ ด้วยวิธี blotter จำ�แนกชนิดเชื้อราและปริมาณ ของเมล็ดที่ติดเชื้อ ตรวจวัดความชื้นของเมล็ด และตรวจวัดความงอกของเมล็ด 1 สาขาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางขุนเทียน)49 ซอยเทียนทะเล25 ถนนบางขุนเทียน ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150 2 ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวคณะกรรมการการอุดมศึกษากรุงเทพมหานคร 10400 3 สาขาวิชาครุศาสตร์เกษตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520 1 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900 2 ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว สำ�นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุงเทพฯ 10400 งานวิจัยของศูนย์ฯ การใช้สารเมทิลจัสโมเนต และกรดซาลิไซลิกเพื่อ ลดอาการสะท้านหนาว ในพุทราพันธุ์บอมแอปเปิล การเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อรา บนเมล็ดข้าวเปลือก ระหว่างเก็บ รักษาในยุ้งข้าวที่มีการลดความชื้น ด้วยการเป่าอากาศแวดล้อม ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส โดยบันทึกผลการทดลองทุกวัน พบว่า ในวันที่ 5 หลังการเก็บรักษา ชุดควบคุมมีคะแนนการเกิดอาการ สะท้านหนาวและการสูญเสียน้ำ�หนักสดสูงที่สุด(CIscore2.58 และ 3.77%) เมื่อเปรียบเทียบกับพุทราที่จุ่มเมทิลจัสโมเนตความเข้มข้น 0.5 มิลลิโมลาร์ (CI score 1.29 และ 2.83%) และกรดซาลิไซลิก ความเข้มข้น 1.0 มิลลิโมลาร์ (CI score 1.50 และ 2.53%) ซึ่งมี ประสิทธิภาพดีที่สุดในการชะลออาการสะท้านหนาว สีของผิวพุทรา ในทุกวิธีการทดลองมีการเปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเป็นสีเขียวเหลือง โดยเปลือกพุทรามีค่าL*chroma และhue ลดลงหลังการเก็บรักษา ในขณะที่ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำ�ได้ทั้งหมด ปริมาณกรด ที่ไทเทรตได้ และความแน่นเนื้อไม่แตกต่างกันทางสถิติในทุกวิธีการ คำ�สำ�คัญ: พุทราพันธุ์บอมแอปเปิล เมทิลจัสโมเนต กรดซาลิไซลิก เชื้อราที่พบมากที่สุดบนเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์KDML105 คือเชื้อราCladosporium sp. Curvularia lunata และ Nigrospora sp. ร้อยละ 46.3 11.1 และ 7.5 ตามลำ�ดับ ส่วนพันธุ์RD6 มีค่าร้อยละ17.58.7 และ15 ตามลำ�ดับ ปริมาณเชื้อรา Rhizopussp. และ Penicillium atramentosum เพิ่มมากขึ้นเมื่อเก็บข้าวเปลือก 12 - 16 สัปดาห์ ค่า MC เริ่มต้นของเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์ KDML105 และ RD6 เมื่อนำ�มาเข้ายุ้งข้าว มีค่าร้อยละ13.8 และ11.7 ตามลำ�ดับ ตลอดการเก็บรักษาพบว่าMC เฉลี่ยกลางกอง และบนกองของเมล็ดข้าวเปลือกพันธุ์ KDML105 เท่ากับร้อยละ 12.55 และ 11.50 ตามลำ�ดับ ส่วนข้าวเปลือกพันธุ์ RD6 เท่ากับร้อยละ 11.30 และ 11.08 ตามลำ�ดับ เมื่อวัดค่าความชื้นเฉลี่ยเปรียบเทียบก่อนและหลังการเป่าอากาศแวดล้อม พบว่า ความชื้นลดลงร้อยละ 0-0.4 ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ความงอกของ ข้าวเปลือกพันธุ์KDML105 และRD6 มีค่าสูงที่สุดคือร้อยละ96 และ88 ตามลำ�ดับ เมื่อเก็บรักษานาน 16 สัปดาห์ คำ�สำ�คัญ : การติดเชื้อของเมล็ด ข้าวเปลือก ยุ้ง การเป่าลม
  • 5. 5Newsletter  I เสรี วงส์พิเชษฐ1, 2 พิศาล หมื่นแก้ว1, 2 นานาสาระ 1 ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2 กลุ่มวิจัยวิศวกรรมประยุกต์เพื่อพืชเศรษฐกิจที่สำ�คัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การพัฒนาเครื่องขุด มันสำ�ปะหลังในประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยไทย มีความพยายามพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตรสำ�หรับเก็บเกี่ยว มันสำ�ปะหลังมาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมขุดมันสำ�ปะหลังขึ้นจากดิน เป็นขั้นตอนแรกของการเก็บเกี่ยว และเป็นขั้นตอนที่ใช้แรงงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายมากที่สุดของกระบวนการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง ในช่วง 15 ปีหลัง ภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานของ ภาคเกษตรกรรมไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่าย ในกระบวนการเก็บเกี่ยวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำ�ให้มีการพัฒนา เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังกันอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งสามารถลำ�ดับ งานพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทย ได้ดังนี้ สมนึก(2537) ได้ออกแบบพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง แบบขุดและลำ�เลียงออกด้านข้าง ให้พ้นแนวล้อของแทรกเตอร์ เครื่องขุด ออกแบบให้ต่อพ่วงด้านหน้าเข้ากับชุดพ่วงใบมีดดันดิน มีลักษณะ เครื่องฯ ดังภาพที่ 1 ส่วนประกอบเครื่องประกอบด้วยอุปกรณ์หลักอยู่2 อุปกรณ์ ประกอบด้วย 1) ผาลขุดแบบสามเหลี่ยมหน้ากว้าง 800 มม. โดยมีโซ่ ลำ�เลียงขนาดกว้าง 600 มม. ยาว 1,000 มม. วางทำ�มุม 30 องศา กับแนวระนาบ ติดตั้งต่อจากผาลขุด 2) โซ่ลำ�เลียงหน้ากว้าง450 มม. ยาว2,000 มม. วางขวาง โซ่ลำ�เลียงในแนวราบเพื่อลำ�เลียงเหง้ามันสำ�ปะหลังออกด้านข้าง ให้พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน8 แรงม้าเป็นต้น กำ�ลังขับเคลื่อนโซ่ลำ�เลียงทั้ง 2 ชุด ภาพที่ 1 เครื่องขุดแบบพ่วงด้านหน้ารถแทรกเตอร์ จากการทดสอบเบื้องต้นพบว่าเครื่องขุดมีความสามารถในการทำ�งาน 0.83 ไร่/ชั่วโมง ประสิทธิภาพการขุด 85.90 เปอร์เซ็นต์ มีมันสำ�ปะหลังสูญเสียรวมร้อยละ 15 ศุภวัฒน์ (2540) ได้ปรับปรุงเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังของ สมนึก (2537) เพิ่มเติม โดยมีส่วนประกอบที่สำ�คัญประกอบด้วยหัวขุดมันสำ�ปะหลังรูปสามเหลี่ยม มีหน้ากว้างในการทำ�งาน 1 เมตร โครงเครื่องมีหน้ากว้าง 2 เมตร มีอุปกรณ์ลำ�เลียงขึ้น และอุปกรณ์ลำ�เลียงออกด้านข้างให้พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ โดยใช้โซ่ชุดลำ�เลียงเป็นโซ่ ขับอุปกรณ์ลำ�เลียง การขับชุดอุปกรณ์ลำ�เลียงใช้เครื่องยนต์เล็กขนาด 7.46 กิโลวัตต์ เป็นต้นกำ�ลัง (ภาพที่ 2) จากการทดสอบได้รายงานว่าความเร็วการทำ�งานที่เหมาะสม 0.46 เมตร/วินาที ความเร็วของอุปกรณ์ลำ�เลียง 0.70 เมตร/วินาที ความสามารถ ในการทำ�งาน0.74 ไร่/ชั่วโมง และหัวมันสำ�ปะหลังที่หลงเหลือในดินเท่ากับ92.51,3.86 และ 3.63 เปอร์เซ็นต์ ตามลำ�ดับ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยระบุว่าเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังนี้ ยังไม่เหมาะสมที่จะนำ�มาใช้งาน ควรมีการพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังต่อไปให้สามารถ ใช้งานทดแทนแรงงานคนได้ ภาพที่ 2 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง แบบใบขุดสามเหลี่ยมติดพ่วงด้านหน้าแทรกเตอร์ ศักดา และธัญญะ (2541) ได้รายงานการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการขุด มันสำ�ปะหลังระหว่างการใช้แรงงานคนและเครื่องขุด พบว่าค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องขุด จะลดลงจากการใช้แรงงานคนขุดและความต้องการแรงงานลดลงคิดเป็นร้อยละ 37.92 และ84.43 ตามลำ�ดับ แม้ว่าการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องขุดจะต้องใช้แรงงานคนคราวละ9 คน ในการขับแทรกเตอร์ 1 คน และเก็บเหง้ามันฯ 8 คนแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพราะเครื่องขุด จะสามารถเพิ่มความสามารถในการขุดจาก 0.05 ไร่/ชั่วโมง เป็น 2.59 ไร่/ชั่วโมง ต่อมาศักดา และธัญญะ (2542) ได้พัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง สั่นสะเทือน K.72 (ภาพที่ 3) แบบใช้พ่วงกับแขนพ่วงแบบ 3 จุดของแทรกเตอร์ขนาด 60-80 แรงม้า โดยอาศัยกำ�ลังขับจากเพลาอำ�นวยกำ�ลังมาขับชุดสั่นสะเทือนที่เป็นตุ้มน้ำ� หนักรูปใบพัด ขนาดน้ำ�หนัก35 กิโลกรัม ติดตั้งด้านหลังของเครื่องขุด หมุนด้วยความเร็วรอบ 450 รอบ/นาที โดยผาลขุดเอียงทำ�มุม 15 องศากับพื้นราบ จากการทดสอบพบว่า การประยุกต์ใช้ระบบสั่นสะเทือนทำ�ให้สามารถลดแรงฉุดลากของแทรกเตอร์ลง30 เปอร์เซ็นต์ การใช้น้ำ�มันเชื้อเพลิงลดลง15 เปอร์เซ็นต์ มีแนวโน้มทำ�ให้ความสามารถในการทำ�งานจริง เพิ่มขึ้น 29 เปอร์เซ็นต์ และมีความสูญเสียมันสำ�ปะหลังจากการขุด 3 เปอร์เซ็นต์
  • 6. 6 Newsletter  Newsletter  นานาสาระ เสรี และสมนึก (2548) ได้พัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังเพิ่มเติม เนื่องจาก เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่เกษตรกรนิยมใช้ขณะนั้นสามารถลำ�เลียงมันสำ�ปะหลังออกจาก แนวร่องที่ขุดเพียง 600-700 มม. มีหัวมันสำ�ปะหลังหลงเหลือในร่องขุดร้อยละ 22-36 ซึ่งไม่พ้นแนวล้อแทรกเตอร์ ทำ�ให้ต้องใช้แรงงานจำ�นวนมากเก็บมันสำ�ปะหลังออก ก่อนที่แทรกเตอร์จะขุดแนวถัดไป ผลการพัฒนาได้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง มข.46 สำ�หรับ ต่อพ่วงกับแทรกเตอร์ขนาด65 แรงม้าแบบ3 จุด ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำ�คัญ ประกอบด้วย คานลาก โครง ซี่ลำ�เลียง และใบมีดตัดดิน ซึ่งสามารถส่งมันสำ�ปะหลังออกด้านข้าง ได้ระยะ 700-800 มม. ซึ่งสามารถส่งพ้นแนวล้อแทรกเตอร์ได้หมด และตั้งชื่อเครื่องขุด ว่า มข.46 (ภาพที่ 4) ภาพที่ 4 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลังแบบ มข.46 เสรี และคำ�นึง (2550) ได้พัฒนาอุปกรณ์ขุดมันสําปะหลัง มข. 48 (ภาพที่ 5) ซึ่งใช้รถแทรกเตอร์ขนาด 18-25 แรงม้า เป็นต้นกําลัง โดยให้สามารถใช้อุปกรณ์ขุด มันสําปะหลัง ในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวตั้งแต่ 800 มม. ขึ้นไปได้ จากข้อ จำ�กัดของขนาดรถแทรกเตอร์ที่เกษตรกรนิยมใช้มีขนาดใหญ่ ฐานล้อกว้าง สามารถทำ�งาน ได้ดีเฉพาะแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวขนาด 1,000 มม. จึงต้องพัฒนาอุปกรณ์ ขุดมัน สําปะหลังขึ้นใหม่ที่ใช้แรงฉุดลากน้อยลง เพื่อให้สามารถใช้งานกับรถแทรกเตอร์ ขนาดเล็ก ได้ซึ่งรถ แทรกเตอร์ขนาดเล็กมีระยะห่างระหว่างล้อรถแทรกเตอร์แคบและ สามารถนําอุปกรณ์ขุดฯเข้าไปทํางานในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่างแถวเพียง800 มม.ได้ จารุวัฒน์ และอนุชิต(2550) ได้สำ�รวจและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบ การเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง พบว่ามีอยู่2 รูปแบบหลักได้แก่ การเก็บเกี่ยวแบบใช้แรงงานคน ทุกขั้นตอน และการเก็บเกี่ยวแบบใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังช่วยในขั้นตอนการขุด ซึ่งรูปแบบ ที่สองสามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ระดับหนึ่งประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนการผลิตลง 8 - 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีเกษตรกรทั้งในพื้นที่ที่มีการใช้เครื่อง ขุดมันสำ�ปะหลังแล้วและในพื้นที่ที่ยังไม่มีการใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง ยังใช้วิธีเก็บเกี่ยว ด้วยแรงงานคนทั้งหมด ซึ่งสาเหตุมาจากการไม่มีการเผยแพร่เครื่องขุด มันสำ�ปะหลังที่มีประสิทธิภาพ และเกษตรกรบางส่วนอาจไม่ยอมรับ ประสิทธิภาพของเครื่องขุดที่มีจำ�หน่ายในปัจจุบันที่ยังมีข้อจำ�กัด การใช้งาน และอุปสรรคที่สำ�คัญคือเครื่องขุดที่มีจำ�หน่ายในปัจจุบัน สามารถช่วยลดแรงงานในช่วงการขุดถอนจากดินเท่านั้น ส่วนการเก็บ รวมกอง ตัดหัวมันออกจากเหง้าและขนย้ายขึ้นรถบรรทุกยังต้องใช้ แรงงานคนถึง2 ใน3 ส่วนของการเก็บเกี่ยวแบบใช้แรงงานคนทั้งหมด เป็นปัญหาคอขวดให้เครื่องขุดไม่สามารถทำ�งานได้เต็มประสิทธิภาพ ภาพที่ 5 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.48 ในปี พ.ศ.2550-2552 อนุชิต และคณะ(2552) ได้พัฒนา เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู ผลการศึกษาในขั้นตอนแรก พบว่า การเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลังของเกษตรกรมี 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ รูปแบบที่ 1 การใช้แรงงานคนทุกขั้นตอน และรูปแบบที่ 2 การใช้เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังฉุดลากด้วยแทรกเตอร์ในขั้นตอนการขุด หัวมันสำ�ปะหลังออกจากดิน แล้วใช้แรงงานคนทั้งหมดในขั้นตอน ที่เหลือ ซึ่งเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่เกษตรกรใช้งานมีหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องขุดแบบคานเดี่ยว มีส่วนประกอบสำ�คัญ3 ส่วน คือ โครงเครื่อง ขายึดผาลหรือขาไถ และผาลขุด ซึ่งผาลขุดหลักๆ ที่พบการใช้งาน มีทั้งแบบขุดแล้วไม่พลิกดิน กับขุดแล้วมีการพลิกดิน นอกจากนี้ยังพบว่า มีการดัดแปลงพัฒนาเพิ่มเติมรวมทั้งการพัฒนาใหม่ อย่างต่อเนื่อง แสดงถึงการไม่มีเสถียรภาพด้านประสิทธิภาพการทำ�งาน ของเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังที่มีการใช้งานในขณะนั้น ในขั้นตอนสุดท้าย ของงานวิจัย อนุชิต และคณะ (2552) ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องขุด มันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู ขึ้นมาเผยแพร่ (ภาพที่ 6) ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการบางแห่งนำ�ไปผลิตจำ�หน่าย ภาพที่ 6 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู ภาพที่ 3 เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบสั่นสะเทือน
  • 7. 7Newsletter  นานาสาระ เสรี (2551) ได้วิจัยและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง โดยใช้รถไถเดินตามเป็นต้นกำ�ลัง และทดสอบการทำ�งานเครื่องขุด มันสำ�ปะหลัง(ต้นแบบ) เปรียบเทียบกับวิธีการเก็บเกี่ยวที่เกษตรกร นิยมปฏิบัติ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า อุปกรณ์ขุดฯที่พัฒนาขึ้นมา มีอัตราการทำ�งานเร็วกว่าการขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้แรงงานคน ในช่วง 5.50 - 8.00 เท่า และมีการสูญเสียจากการขุด ตำ�กว่า การขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้แรงงานคนในช่วงร้อยละ 1.10 – 3.90 ทั้งนี้ขึ้นกับความแข็งของดินในแปลงเก็บเกี่ยว และตั้งชื่ออุปกรณ์ ขุดมันสำ�ปะหลังที่พัฒนาขึ้นมานี้ว่า อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.52 มีลักษณะดังภาพที่ 7 ซึ่งคล้ายกับไถหัวหมูเอเชีย วิชา(2553) ได้ทำ�การออกแบบและพัฒนาเครื่องเก็บเกี่ยว มันสำ�ปะหลัง (ภาพที่ 8) โดยมีสวนประกอบที่สำ�คัญ 2 ส่วน คือ ผาลแซะดินซึ่งทำ�หน้าที่ตัดดินใต้รากมันฯ และโซ่ลำ�เลียงแบบคีบ ทำ�หน้าที่คีบเหง้ามันและดึงขึ้นไปวางรายที่ด้านหลังของแถวที่ทำ�การขุด ในลักษณะที่ละแถว โดยไม่มีการรวมแถว เครื่องฯถูกติดตั้งเข้า กับแทรกเตอร์ด้วยวิธีการต่อพ่วง 3 จุด จากการทดสอบในแปลง มีรายงานว่ามีอัตราการทำ�งาน0.5ไร่/ชั่วโมงโดยมีความเร็วในการเคลื่อนที่ 0.17 เมตร/วินาที และต้องใช้งานในแปลงปลูกที่มีระยะห่างระหว่าง แถว 1.2 เมตร ขึ้นไป ภาพที่ 7 อุปกรณ์ขุดมันสำ�ปะหลัง มข.52 การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังในประเทศไทยมีลำ�ดับขั้นตอนการพัฒนามา พอสมควร เพื่อพยายามหาเครื่องที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลังที่มีค่าแรง เกือบครึ่งอยู่ที่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ซึ่งเครื่องขุดที่พัฒนามีหลายรูปแบบปรับตามสภาพดิน และต้นกำ�ลังที่ใช้ และมีแนวโน้มต่อไปในอนาคตที่จะต้องมีการพัฒนาเครื่องที่สามารถ ทั้งขุด รวมกอง และตัดเหง้า รวมทั้งบรรทุกออกจากแปลงได้ในเครื่องเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ ท้าทายนักวิจัยไทยต่อไป ภาพที่ 8 เครื่องเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง เอกสารอ้างอิง จารุวัฒน์ มงคลธนทรรศ และ อนุชิต ฉำ�สิงห์.2550. เครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง. กสิกร 80(5): 89 – 102. วิชา หมั่นทำ�การ. 2553. เครื่องเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. [Online]. Available at: http://www.rdi.ku.ac.th/kasetresearch53/ group06/wichar/index_04.html [Accessed 29/11/58] ศักดา อินทรวิชัย และธัญญะ เกียรติวัฒน์.2542. เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบสั่นสะเทือน K.72. รายงานประจำ�ปีสมาคมการค้ามันสำ�ปะหลังไทย กรุงเทพฯ: สมาคมการค้า มันสำ�ปะหลังไทย. หน้า 88-94. ศุภวัฒน์ ปากเมย.2540. การออกแบบและประเมินผลเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง. วิทยานิพนธ์ วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต (วิศวกรรมเครื่องจักรกลเกษตร), มหาวิทยาลัย ขอนแก่น. 125 หน้า สมนึก ชูศิลป์.2537. การออกแบบและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง[แผ่นพับ]. กรุงเทพฯ: สำ�นักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ สิ่งแวดล้อม; เสรี วงส์พิเชษฐ และสมนึก ชูศิลป์.2548. การพัฒนากระบวนการเก็บเกี่ยวมันสำ�ปะหลัง ด้วยเครื่องขุดมันสำ�ปะหลัง[รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. คณะวิศวกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 11 หน้า. เสรี วงส์พิเชษฐ และคำ�นึง วาทโยธา. 2550. การพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้ รถแทรกเตอร์เล็กเป็นต้นกำ�ลัง [รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. ขอนแก่น: ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยขอนแก่น.9 หน้า. เสรี วงส์พิเชษฐ. 2551. การวิจัยและพัฒนาเครื่องขุดมันสำ�ปะหลังโดยใช้รถไถเดินตาม เป็นต้นกำ�ลัง [รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. ขอนแก่น: ศูนย์นวัตกรรมและ เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวมหาวิทยาลัยขอนแก่น. 34 หน้า. อนุชิต ฉำ�สิงห์, อัคคพล เสนาณรงค์, สุภาษิต เสงี่ยมพงษ์, พักตร์วิภา สุทธิวารี, ยุทธนา เครือหาญชาญพงค์ และ ขนิษฐ์ หว่านณรงค์. 2552. วิจัยและพัฒนา เครื่องขุดมันสำ�ปะหลังแบบไถหัวหมู[รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์]. กรุงเทพฯ: กลุ่มวิจัยวิศวกรรมผลิตพืชสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม. 53 หน้า.
  • 8. Postharvest Technology Innovation Center : . : . . . : : : PHT Newsletter 239 50200 +66(0)5394-1448 +66(0)5394-1447 E-mail : [email protected] http://www.phtnet.org ข่าวประชาสัมพันธ์ ศาสตราจารย์ ดร.ดนัย บุณยเกียรติ ผู้อำ�นวยการศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เข้าร่วมงานประชุมวิชาการVIIIInternational Postharvest Symposium ณ ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 21-24 มิถุนายน 2559 และนำ�เสนอผลงานในหัวข้อ Research and Development on Postharvest Management of the Royal Project Flowers ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว:หน่วยงานร่วมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และรักษาคุณภาพทุเรียนตัดแต่งสด” โดยมีบุคลากรจากบริษัท นิร์วานา จำ�กัด เข้าร่วม ฝึกอบรม เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับความรู้เกี่ยวกับ การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาคุณภาพทุเรียนตัดแต่งสด เพื่อการส่งออก และสามารถจัดการกับผลิตผลสด ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว: หน่วยงานร่วม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “ระบบมาตรฐาน สินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย” เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 ณองค์การบริหารส่วนตำ�บลแม่คะตวนอำ�เภอสบเมยจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีเกษตรกรและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมจำ�นวน 30 คน ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้เข้าร่วมการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ และสร้างเสริมประสบการณ์ ด้านการระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรและมาตรฐานอาหารปลอดภัย