จัดทำโดย 1. นางสาวสุกฤตา  อ่อนชั่ง   ชั้น ม .6/2 2. นางสาววรรณภา  สายตรง   ชั้น ม .6/2 3. นางสาวสุภา  ศรีสุข   ชั้น ม .6/2 4. นางสาวริญาพร สมหวัง   ชั้น ม .6/1 5. นางสาวหนึ่งฤทัย   คำมูลมาตย์  ชั้นม .6/1 6. นางสาวพัชรี   ผ่องใส   ชั้น ม .6/1 แสง
ก่อนศตวรรษที่  17   การศึกษาเรื่องแสงเชื่อกันว่า แสงเป็นอนุภาคที่ถูกส่งออกมาจากต้นกำเนิดแสง แสงสามารถผ่านทะลุวัตถุโปร่งใสและสะท้อนจากผิวของวัตถุทึบแสงได้ เมื่ออนุภาคเหล่านี้ผ่านเข้าสู่ตาจะทำให้เกิดความรู้สึกในการมองเห็น        นิวตัน  ( Newton )  ได้เสนอทฤษฎีอนุภาคของแสง  ( particle theory )  ซึ่งสามารถนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์สะท้อนและการหักเหของแสง     ฮอยเกนส์  (  Christain Huygen )  ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับคลื่นแสง  ( Waves Theory )  กล่าวว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเดินทางในลักษณะของคลื่น นอกจากนี้ยังได้แสดงให้เห็นว่า กฎการสะท้อน และการหักเหสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีคลื่นแสง      ทอมัส ยัง  ( Thomas Young )  ได้ค้นพบปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง      เฟรสเนล  ( Augustin Fresnel )  ได้ทำการทดลอง เกี่ยวกับการ แทรกสอด และการเลี้ยวเบนของแสง        แสงช่วงที่ตาสามารถ มองเห็นมีค่าอยู่ระหว่าง  400 – 700   นาโนเมตร และมีความถี่อยู่ในช่วง  103-105   เฮิรตซ์ โดยแสงสีม่วงซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยที่สุด หรือ ความถี่สูงสุด ส่วนแสงสีอื่น ๆ ให้สเปคตรัมของแสงในช่วงนี้ก็มีความยาวคลื่นสูงขึ้นตามลำดับ จนถึงแสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดหรือมีความถี่ต่ำที่สุด
คลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่าแสงสีแดงเรียกว่า  “ อินฟราเรด ”  ( infrared )  ส่วนคลื่นที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วงเรียกว่า  “ อัลตราไวโอเลต ”  ( Ultraviolet )        1 .  การส่องสว่างและการเปรียบเทียบความเข้มแสง        แสงเป็นพลังงาน สามารถทำให้เกิดความสว่างบนผิววัตถุ โดยปริมาณการส่องสว่างของแสงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ก .  ความเข้มแสงของแหล่งกำเนิด ข .  ระยะทางจากแหล่งกำเนิดแสงกับพื้นที่ที่แสงตกกระทบ ค .  มุมตกกระทบของรังสีแสง       ความสว่าง  ( Illuminance )  ของผิวใด ๆ หมายถึงค่าความสว่างที่ตกบนพื้นที่ผิวต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ถ้าพิจารณาผิวที่อยู่ห่างจากหลอดไฟที่มีกำลังส่องสว่าง  1   แคลเดลลา เป็นระยะทาง  1   เมตร ความเข้มแห่งการส่องสว่างจะมีค่า  1   ลักซ์ ( lux )  โดยความเข้มแห่งการส่องสว่างจะแปรผกผันกับระยะทางกำลังสองให้        E  คือความสว่าง  ( lux )           I  คือกำลังส่องสว่าง  ( แคนเดลลา ,cd )  โดยที่  I  =  , P  แทนกำลังของ หลอดไฟ  ( Watt )  และ  4?R 2  คือ พื้นที่ผิวที่แสงตกกระทบ ( m 2)           R  คือระยะห่างจากหลอดไฟถึงผิวที่พิจารณา ( m )E=I/R 2
( 1 )       2 .  หน้าคลื่นและรังสีของแสง          เมื่อเกิดคลื่นบนผิวน้ำจะเห็นหน้าคลื่นแผ่ออกจากจุดกำเนิดคลื่นเป็นรูปวงกลม แต่ถ้าเป็นแสง โดยแหล่งกำเนิดแสงเป็นจุดก็จะแผ่หน้าคลื่นออกไปเป็นรูปทรงกลม ถ้าลากเส้นจากจุดกำเนิดคลื่นออกไปในแนวตั้งฉากกับหน้าคลื่น เส้นที่ลากออกไปนี้เราเรียกว่า รังสีของแสง            ในกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงอยู่ไกลมาก ๆ หน้าคลื่นของแสงจะเป็นหน้าคลื่นระนาบ ดังนั้นรังสีของแสงจึงเป็นเส้นตรงขนานกัน ซึ่งรังสีของแสงสามารถบอกถึงลักษณะ การเคลื่อนที่ของคลื่นและหน้าคลื่นได้ ดังนั้นในการศึกษาเกี่ยวกับแสงจึงใช้รังสีของแสงแทนหน้าคลื่น
สีและความยาวคลื่น ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันนั้น จะถูกตรวจจับได้ด้วยดวงตาของมนุษย์ ซึ่งจะแปลผลด้วยสมองของมนุษย์ให้เป็น สี ต่างๆ ในช่วง  สีแดง ซึ่งมีความยาวคลื่นยาวสุด  ( ความถี่ต่ำสุด )  ที่มนุษย์มองเห็นได้ ถึง สีม่วง  ซึ่งมีความยาวคลื่นสั้นสุด  ( ความถี่สูงสุด )  ที่มนุษย์มองเห็นได้ ความถี่ที่อยู่ในช่วงนี้ จะมี สีส้ม ,  สีเหลือง ,  สีเขียว ,  สีน้ำเงิน  และ  สีคราม
  รูปที่  1   แสดงคลื่นเม่เหล็กไฟฟ้าช่วงที่ตามองเห็น
ความเร็วของแสง นักฟิสิกส์หลายคนได้พยายามทำการวัดความเร็วของแสง การวัดแรกสุดที่มีความแม่นยำนั้นเป็นการวัดของ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก  Ole   Rømer   ในปี ค . ศ .  1676   เขาได้ทำการคำนวณจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของ ดาวพฤหัสบดี  และ  ดวงจันทร์ไอโอ  ของดาวพฤหัสบดี โดยใช้กล้องดูดาว เขาได้สังเกตความแตกต่างของช่วงการมองเห็นรอบของการโคจรของดวงจันทร์ไอโอ และได้คำนวณค่าความเร็วแสง  227,000   กิโลเมตร  ต่อ  วินาที   ( ประมาณ  141,050   ไมล์  ต่อ วินาที ) หรือค่าประมาณ 3x10 ยกกำลัง 8 ==  อ้างอิง  == การวัดความเร็วของแสงบนโลกนั้นกระทำสำเร็จเป็นครั้งแรกโดย  Hippolyte   Fizeau   ในปี ค . ศ .  1849   เขาทำการทดลองโดยส่องลำของแสงไปยัง กระจกเงา ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรผ่านซี่ล้อ ในขณะที่ล้อนั้นหมุนด้วยความเร็วคงที่ ลำแสงพุ่งผ่านช่องระหว่างซี่ล้อออกไปกระทบกระจกเงา และพุ่งกลับมาผ่านซี่ล้ออีกซี่หนึ่ง จากระยะทางไปยังกระจกเงา จำนวนช่องของซี่ล้อ และความเร็วรอบของการหมุน เขาสามารถทำการคำนวณความเร็วของแสงได้  313,000   กิโลเมตร ต่อ วินาที
การหักเหของแสง แสงนั้นวิ่งผ่านตัวกลางด้วยความเร็วจำกัด ความเร็วของแสงในสุญญากาศ  c   จะมีค่า  c  =  299,792,458   เมตร  ต่อ  วินาที   (186,282.397  ไมล์  ต่อ วินาที )  โดยไม่ขึ้นกับว่าผู้สังเกตการณ์นั้นเคลื่อนที่หรือไม่ เมื่อแสงวิ่งผ่านตัวกลางโปร่งใสเช่น  อากาศ   น้ำ  หรือ  แก้ว  ความเร็วแสงในตัวกลางจะลดลงซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์การหักเหของแสง คุณลักษณะของการลดลงของความเร็วแสงในตัวกลางที่มีความหนาแน่นสูงนี้จะวัดด้วย  ดรรชนีหักเห ของแสง  ( refractive index )  n   โดยที่ โดย  n = 1   ในสุญญากาศ และ  n >1   ในตัวกลาง เมื่อลำแสงวิ่งผ่านเข้าสู่ตัวกลางจากสุญญากาศ หรือวิ่งผ่านจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง แสงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงความถี่ แต่เปลี่ยนความยาวคลื่นเนื่องจากความเร็วที่เปลี่ยนไป ในกรณีที่มุมตกกระทบของแสงนั้นไม่ตั้งฉากกับผิวของตัวกลางใหม่ที่แสงวิ่งเข้าหา ทิศทางของแสงจะถูกหักเห ตัวอย่างของปรากฏการณ์หักเหนี้เช่น  เลนส์ ต่างๆ ทั้ง กระจกขยาย   คอน แทค เลนส์   แว่นสายตา   กล้องจุลทรรศน์   กล้องส่องทางไกล
การทดลองเรื่องการสะท้อนและการหักเหของแสง                  
แผนภาพแสดงสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การเลี้ยวเบนของแสง                                                                                                                                                                                                                        
กล้องสะท้อนแสง  ( Reflector Telescope )                       กล้องสะท้อนแสง  ( Reflector Telescope )                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    กล้องสะท้อนแสง  ( Reflector Telescope )                                                                                                                                                                                                                                                                                                               
ในปีค . ศ . 1663   เจมส์ เกรกอรี่  (  James Gregory )  ชาวสก็อตแลนด์ ได้ประดิษฐ์กล้องสะท้อนแสง โดยการใช้กระจกเว้า ฉาบด้วยสารสะท้อนแสง  2   ชิ้น กระจกเว้าชิ้นแรกเราเรียกว่า กระจกไพรมารี่  ( Primary Mirror )  มีขนานใหญ่กว่า มีความโค้งเป็นแบบพาลาโบลาใช้ในการรวบรวมแสงขนาน โดยการสะท้อนแสงย้อนไปทางหน้ากล้อง และ มีกระจกเว้าชิ้นที่สอง ที่เราเรียกว่า กระจกเซ็คคันดารี่  ( Secondary Mirror )  มีความโค้งเป็นแบบทรงรี ทำหน้าที่สะท้อนแสงครั้งที่สอง ทำให้ตำแหน่งโฟกัสกลับไปตกที่ท้ายกล้อง โดยผ่านรูที่เจาะไว้ตรงกลางของกระจกไพรมารี่ ภาพที่ได้จะไปตกที่ระนาบโฟกัสที่ท้ายกล้องเช่นกัน และใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ตา กล้องชนิดนี้มีชื่อว่ากล้องสะท้อนแสงเกรกอเรี่ยน  ( Gregorian Reflector )  ถือว่าเป็นกล้องสะท้อนแสงชนิดแรก  
หน่วย  SI  ของการวัดแสง พลังงาน ของการส่องสว่าง จูล   (joule) J ฟลักซ์ ส่องสว่าง   (Luminous flux) ลู เมน   ( lumen )  หรือ  แคนเดลา   ·  สเตอเรเดียน   (candela · steradian) lm อาจเรียกว่า กำลังของความสว่าง  ( Luminous power ) ความเข้มของการส่องสว่าง   (Luminous intensity) แคนเดลา   (candela) cd ความเข้มของความสว่าง   (Luminance) แคนเดลา / ตารางเมตร   (candela/square metre) cd / m 2 อาจเรียกว่า ความหนาแน่นของความเข้มการส่องสว่าง ความสว่าง   (Illuminance) ลักซ์   ( lux )  หรือ  ลู เมน / ตารางเมตร lx ประสิทธิภาพการส่องสว่าง   (Luminous efficacy) ลู เมน  ต่อ วัตต์  ( lumens per watt )lm/W

More Related Content

PDF
PPTX
บทที่ 7 ระบบสุริยะ
PDF
ดวงอาทิตย์
PDF
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
PPTX
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
PPTX
ระบบสุริยะ Solar system
PDF
ดาวฤกษ
บทที่ 7 ระบบสุริยะ
ดวงอาทิตย์
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
ระบบสุริยะ Solar system
ดาวฤกษ

What's hot (14)

PPTX
บรรยากาศดวงอาทิตย์
PPT
วิทยาศาสตร์
 
PPT
กลุ่มที่ 4
PPTX
กำเนิดสุริยะ ม.3
PPTX
มหัศจรรย์ระบบสุริยะอันน่าพิศวง
PPTX
ดวงอาทิตย์ The sun
PDF
ระบบสุริยะ
PPTX
โครงงานเรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล
PDF
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ
PDF
ระบบส ร ยะจ_กรวาล
PPT
Universe
PPT
งานpowerpoind กลุ่ม5
PDF
ความหมายของดาวฤกษ์
บรรยากาศดวงอาทิตย์
วิทยาศาสตร์
 
กลุ่มที่ 4
กำเนิดสุริยะ ม.3
มหัศจรรย์ระบบสุริยะอันน่าพิศวง
ดวงอาทิตย์ The sun
ระบบสุริยะ
โครงงานเรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ
ระบบส ร ยะจ_กรวาล
Universe
งานpowerpoind กลุ่ม5
ความหมายของดาวฤกษ์
Ad

Similar to ดงมะไฟพิทยาคม แสง (20)

PDF
Lesson13
PPT
System lighting
PDF
แสงและการมองเห็น
PPTX
ppt แสงและการมองเห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
PDF
การสะท้อนของแสง
PPT
System lighting
PPT
แสงและการหักเห2
PPT
แสงกับการมองเห็น 11
PPT
แสงกับการมองเห็น 11
PDF
Light is the electromagnetic wave from the sun.
PPT
แสงกับการมองเห็น 11
PDF
ใบความรู้เรื่องแสง
PPT
System lighting
PPT
บทที่ 13 แสงและทัศนูปกรณ์
PDF
เรื่อง แสง
PPT
Env tech week1
PDF
Copy-of-4.แสงเชิงรังสี.pdf
PPTX
นำเสนอแสงปี56
PDF
แสงและทัศน์ปกรณ์
Lesson13
System lighting
แสงและการมองเห็น
ppt แสงและการมองเห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
การสะท้อนของแสง
System lighting
แสงและการหักเห2
แสงกับการมองเห็น 11
แสงกับการมองเห็น 11
Light is the electromagnetic wave from the sun.
แสงกับการมองเห็น 11
ใบความรู้เรื่องแสง
System lighting
บทที่ 13 แสงและทัศนูปกรณ์
เรื่อง แสง
Env tech week1
Copy-of-4.แสงเชิงรังสี.pdf
นำเสนอแสงปี56
แสงและทัศน์ปกรณ์
Ad

More from nang_phy29 (20)

PDF
รายชื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับ
PDF
เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน.2
PDF
เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน
PDF
Swot1 ผลวิเคราะห์
PDF
Swot analysis
PDF
การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม
XLSX
วิเคราะห์ Swot
PDF
เอกสารแนบ
PPTX
ดงมะไฟพิทยาคม รังสีแกมมา
PPTX
ดงมะไฟพิทยาคม Uv
PDF
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์
PDF
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่2 ศิลป์
PDF
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่2
PDF
มัธยมต้น ภาคเรียนที่2
PDF
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1
PDF
มัธยมต้น ภาคเรียนที่1
PDF
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์
PDF
นักศึกษา 53
PDF
ตัวต้านทาน
PDF
4.หลักสูตรสังคม
รายชื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับ
เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน.2
เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน
Swot1 ผลวิเคราะห์
Swot analysis
การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม
วิเคราะห์ Swot
เอกสารแนบ
ดงมะไฟพิทยาคม รังสีแกมมา
ดงมะไฟพิทยาคม Uv
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่2 ศิลป์
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่2
มัธยมต้น ภาคเรียนที่2
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1
มัธยมต้น ภาคเรียนที่1
มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์
นักศึกษา 53
ตัวต้านทาน
4.หลักสูตรสังคม

ดงมะไฟพิทยาคม แสง

  • 1. จัดทำโดย 1. นางสาวสุกฤตา อ่อนชั่ง ชั้น ม .6/2 2. นางสาววรรณภา สายตรง ชั้น ม .6/2 3. นางสาวสุภา ศรีสุข ชั้น ม .6/2 4. นางสาวริญาพร สมหวัง ชั้น ม .6/1 5. นางสาวหนึ่งฤทัย คำมูลมาตย์ ชั้นม .6/1 6. นางสาวพัชรี ผ่องใส ชั้น ม .6/1 แสง
  • 2. ก่อนศตวรรษที่ 17 การศึกษาเรื่องแสงเชื่อกันว่า แสงเป็นอนุภาคที่ถูกส่งออกมาจากต้นกำเนิดแสง แสงสามารถผ่านทะลุวัตถุโปร่งใสและสะท้อนจากผิวของวัตถุทึบแสงได้ เมื่ออนุภาคเหล่านี้ผ่านเข้าสู่ตาจะทำให้เกิดความรู้สึกในการมองเห็น        นิวตัน ( Newton ) ได้เสนอทฤษฎีอนุภาคของแสง ( particle theory ) ซึ่งสามารถนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์สะท้อนและการหักเหของแสง     ฮอยเกนส์ ( Christain Huygen ) ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับคลื่นแสง ( Waves Theory ) กล่าวว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเดินทางในลักษณะของคลื่น นอกจากนี้ยังได้แสดงให้เห็นว่า กฎการสะท้อน และการหักเหสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีคลื่นแสง      ทอมัส ยัง ( Thomas Young ) ได้ค้นพบปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง      เฟรสเนล ( Augustin Fresnel ) ได้ทำการทดลอง เกี่ยวกับการ แทรกสอด และการเลี้ยวเบนของแสง        แสงช่วงที่ตาสามารถ มองเห็นมีค่าอยู่ระหว่าง 400 – 700 นาโนเมตร และมีความถี่อยู่ในช่วง 103-105 เฮิรตซ์ โดยแสงสีม่วงซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยที่สุด หรือ ความถี่สูงสุด ส่วนแสงสีอื่น ๆ ให้สเปคตรัมของแสงในช่วงนี้ก็มีความยาวคลื่นสูงขึ้นตามลำดับ จนถึงแสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดหรือมีความถี่ต่ำที่สุด
  • 3. คลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่าแสงสีแดงเรียกว่า “ อินฟราเรด ” ( infrared ) ส่วนคลื่นที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วงเรียกว่า “ อัลตราไวโอเลต ” ( Ultraviolet )       1 . การส่องสว่างและการเปรียบเทียบความเข้มแสง        แสงเป็นพลังงาน สามารถทำให้เกิดความสว่างบนผิววัตถุ โดยปริมาณการส่องสว่างของแสงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ก . ความเข้มแสงของแหล่งกำเนิด ข . ระยะทางจากแหล่งกำเนิดแสงกับพื้นที่ที่แสงตกกระทบ ค . มุมตกกระทบของรังสีแสง       ความสว่าง ( Illuminance ) ของผิวใด ๆ หมายถึงค่าความสว่างที่ตกบนพื้นที่ผิวต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ถ้าพิจารณาผิวที่อยู่ห่างจากหลอดไฟที่มีกำลังส่องสว่าง 1 แคลเดลลา เป็นระยะทาง 1 เมตร ความเข้มแห่งการส่องสว่างจะมีค่า 1 ลักซ์ ( lux ) โดยความเข้มแห่งการส่องสว่างจะแปรผกผันกับระยะทางกำลังสองให้       E คือความสว่าง ( lux )           I คือกำลังส่องสว่าง ( แคนเดลลา ,cd ) โดยที่ I = , P แทนกำลังของ หลอดไฟ ( Watt ) และ 4?R 2 คือ พื้นที่ผิวที่แสงตกกระทบ ( m 2)          R คือระยะห่างจากหลอดไฟถึงผิวที่พิจารณา ( m )E=I/R 2
  • 4. ( 1 )       2 . หน้าคลื่นและรังสีของแสง          เมื่อเกิดคลื่นบนผิวน้ำจะเห็นหน้าคลื่นแผ่ออกจากจุดกำเนิดคลื่นเป็นรูปวงกลม แต่ถ้าเป็นแสง โดยแหล่งกำเนิดแสงเป็นจุดก็จะแผ่หน้าคลื่นออกไปเป็นรูปทรงกลม ถ้าลากเส้นจากจุดกำเนิดคลื่นออกไปในแนวตั้งฉากกับหน้าคลื่น เส้นที่ลากออกไปนี้เราเรียกว่า รังสีของแสง           ในกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงอยู่ไกลมาก ๆ หน้าคลื่นของแสงจะเป็นหน้าคลื่นระนาบ ดังนั้นรังสีของแสงจึงเป็นเส้นตรงขนานกัน ซึ่งรังสีของแสงสามารถบอกถึงลักษณะ การเคลื่อนที่ของคลื่นและหน้าคลื่นได้ ดังนั้นในการศึกษาเกี่ยวกับแสงจึงใช้รังสีของแสงแทนหน้าคลื่น
  • 5. สีและความยาวคลื่น ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันนั้น จะถูกตรวจจับได้ด้วยดวงตาของมนุษย์ ซึ่งจะแปลผลด้วยสมองของมนุษย์ให้เป็น สี ต่างๆ ในช่วง สีแดง ซึ่งมีความยาวคลื่นยาวสุด ( ความถี่ต่ำสุด ) ที่มนุษย์มองเห็นได้ ถึง สีม่วง ซึ่งมีความยาวคลื่นสั้นสุด ( ความถี่สูงสุด ) ที่มนุษย์มองเห็นได้ ความถี่ที่อยู่ในช่วงนี้ จะมี สีส้ม , สีเหลือง , สีเขียว , สีน้ำเงิน และ สีคราม
  • 6. รูปที่ 1 แสดงคลื่นเม่เหล็กไฟฟ้าช่วงที่ตามองเห็น
  • 7. ความเร็วของแสง นักฟิสิกส์หลายคนได้พยายามทำการวัดความเร็วของแสง การวัดแรกสุดที่มีความแม่นยำนั้นเป็นการวัดของ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก Ole Rømer ในปี ค . ศ . 1676 เขาได้ทำการคำนวณจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของ ดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร์ไอโอ ของดาวพฤหัสบดี โดยใช้กล้องดูดาว เขาได้สังเกตความแตกต่างของช่วงการมองเห็นรอบของการโคจรของดวงจันทร์ไอโอ และได้คำนวณค่าความเร็วแสง 227,000 กิโลเมตร ต่อ วินาที ( ประมาณ 141,050 ไมล์ ต่อ วินาที ) หรือค่าประมาณ 3x10 ยกกำลัง 8 == อ้างอิง == การวัดความเร็วของแสงบนโลกนั้นกระทำสำเร็จเป็นครั้งแรกโดย Hippolyte Fizeau ในปี ค . ศ . 1849 เขาทำการทดลองโดยส่องลำของแสงไปยัง กระจกเงา ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรผ่านซี่ล้อ ในขณะที่ล้อนั้นหมุนด้วยความเร็วคงที่ ลำแสงพุ่งผ่านช่องระหว่างซี่ล้อออกไปกระทบกระจกเงา และพุ่งกลับมาผ่านซี่ล้ออีกซี่หนึ่ง จากระยะทางไปยังกระจกเงา จำนวนช่องของซี่ล้อ และความเร็วรอบของการหมุน เขาสามารถทำการคำนวณความเร็วของแสงได้ 313,000 กิโลเมตร ต่อ วินาที
  • 8. การหักเหของแสง แสงนั้นวิ่งผ่านตัวกลางด้วยความเร็วจำกัด ความเร็วของแสงในสุญญากาศ c จะมีค่า c = 299,792,458 เมตร ต่อ วินาที (186,282.397 ไมล์ ต่อ วินาที ) โดยไม่ขึ้นกับว่าผู้สังเกตการณ์นั้นเคลื่อนที่หรือไม่ เมื่อแสงวิ่งผ่านตัวกลางโปร่งใสเช่น อากาศ น้ำ หรือ แก้ว ความเร็วแสงในตัวกลางจะลดลงซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์การหักเหของแสง คุณลักษณะของการลดลงของความเร็วแสงในตัวกลางที่มีความหนาแน่นสูงนี้จะวัดด้วย ดรรชนีหักเห ของแสง ( refractive index ) n โดยที่ โดย n = 1 ในสุญญากาศ และ n >1 ในตัวกลาง เมื่อลำแสงวิ่งผ่านเข้าสู่ตัวกลางจากสุญญากาศ หรือวิ่งผ่านจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง แสงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงความถี่ แต่เปลี่ยนความยาวคลื่นเนื่องจากความเร็วที่เปลี่ยนไป ในกรณีที่มุมตกกระทบของแสงนั้นไม่ตั้งฉากกับผิวของตัวกลางใหม่ที่แสงวิ่งเข้าหา ทิศทางของแสงจะถูกหักเห ตัวอย่างของปรากฏการณ์หักเหนี้เช่น เลนส์ ต่างๆ ทั้ง กระจกขยาย คอน แทค เลนส์ แว่นสายตา กล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล
  • 12. กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope )             กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope )                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope )                                                                                                                                                                                                                                                                                                              
  • 13. ในปีค . ศ . 1663 เจมส์ เกรกอรี่ ( James Gregory ) ชาวสก็อตแลนด์ ได้ประดิษฐ์กล้องสะท้อนแสง โดยการใช้กระจกเว้า ฉาบด้วยสารสะท้อนแสง 2 ชิ้น กระจกเว้าชิ้นแรกเราเรียกว่า กระจกไพรมารี่ ( Primary Mirror ) มีขนานใหญ่กว่า มีความโค้งเป็นแบบพาลาโบลาใช้ในการรวบรวมแสงขนาน โดยการสะท้อนแสงย้อนไปทางหน้ากล้อง และ มีกระจกเว้าชิ้นที่สอง ที่เราเรียกว่า กระจกเซ็คคันดารี่ ( Secondary Mirror ) มีความโค้งเป็นแบบทรงรี ทำหน้าที่สะท้อนแสงครั้งที่สอง ทำให้ตำแหน่งโฟกัสกลับไปตกที่ท้ายกล้อง โดยผ่านรูที่เจาะไว้ตรงกลางของกระจกไพรมารี่ ภาพที่ได้จะไปตกที่ระนาบโฟกัสที่ท้ายกล้องเช่นกัน และใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ตา กล้องชนิดนี้มีชื่อว่ากล้องสะท้อนแสงเกรกอเรี่ยน ( Gregorian Reflector ) ถือว่าเป็นกล้องสะท้อนแสงชนิดแรก  
  • 14. หน่วย SI ของการวัดแสง พลังงาน ของการส่องสว่าง จูล (joule) J ฟลักซ์ ส่องสว่าง (Luminous flux) ลู เมน ( lumen ) หรือ แคนเดลา · สเตอเรเดียน (candela · steradian) lm อาจเรียกว่า กำลังของความสว่าง ( Luminous power ) ความเข้มของการส่องสว่าง (Luminous intensity) แคนเดลา (candela) cd ความเข้มของความสว่าง (Luminance) แคนเดลา / ตารางเมตร (candela/square metre) cd / m 2 อาจเรียกว่า ความหนาแน่นของความเข้มการส่องสว่าง ความสว่าง (Illuminance) ลักซ์ ( lux ) หรือ ลู เมน / ตารางเมตร lx ประสิทธิภาพการส่องสว่าง (Luminous efficacy) ลู เมน ต่อ วัตต์ ( lumens per watt )lm/W