More Related Content
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก What's hot (14)
มหัศจรรย์ระบบสุริยะอันน่าพิศวง โครงงานเรื่อง ระบบสุริยะจักรวาล โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ Similar to ดงมะไฟพิทยาคม แสง (20)
ppt แสงและการมองเห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 Light is the electromagnetic wave from the sun. บทที่ 13 แสงและทัศนูปกรณ์ Copy-of-4.แสงเชิงรังสี.pdf More from nang_phy29 (20)
รายชื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนเฉลี่ยสูงสุด 5 อันดับ เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน.2 เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์ มัธยมปลาย ภาคเรียนที่2 ศิลป์ มัธยมปลาย ภาคเรียนที่1 ศิลป์ ดงมะไฟพิทยาคม แสง
- 1. จัดทำโดย 1. นางสาวสุกฤตา อ่อนชั่ง ชั้น ม .6/2 2. นางสาววรรณภา สายตรง ชั้น ม .6/2 3. นางสาวสุภา ศรีสุข ชั้น ม .6/2 4. นางสาวริญาพร สมหวัง ชั้น ม .6/1 5. นางสาวหนึ่งฤทัย คำมูลมาตย์ ชั้นม .6/1 6. นางสาวพัชรี ผ่องใส ชั้น ม .6/1 แสง
- 2. ก่อนศตวรรษที่ 17 การศึกษาเรื่องแสงเชื่อกันว่า แสงเป็นอนุภาคที่ถูกส่งออกมาจากต้นกำเนิดแสง แสงสามารถผ่านทะลุวัตถุโปร่งใสและสะท้อนจากผิวของวัตถุทึบแสงได้ เมื่ออนุภาคเหล่านี้ผ่านเข้าสู่ตาจะทำให้เกิดความรู้สึกในการมองเห็น นิวตัน ( Newton ) ได้เสนอทฤษฎีอนุภาคของแสง ( particle theory ) ซึ่งสามารถนำไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์สะท้อนและการหักเหของแสง ฮอยเกนส์ ( Christain Huygen ) ได้เสนอทฤษฏีเกี่ยวกับคลื่นแสง ( Waves Theory ) กล่าวว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเดินทางในลักษณะของคลื่น นอกจากนี้ยังได้แสดงให้เห็นว่า กฎการสะท้อน และการหักเหสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีคลื่นแสง ทอมัส ยัง ( Thomas Young ) ได้ค้นพบปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง เฟรสเนล ( Augustin Fresnel ) ได้ทำการทดลอง เกี่ยวกับการ แทรกสอด และการเลี้ยวเบนของแสง แสงช่วงที่ตาสามารถ มองเห็นมีค่าอยู่ระหว่าง 400 – 700 นาโนเมตร และมีความถี่อยู่ในช่วง 103-105 เฮิรตซ์ โดยแสงสีม่วงซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยที่สุด หรือ ความถี่สูงสุด ส่วนแสงสีอื่น ๆ ให้สเปคตรัมของแสงในช่วงนี้ก็มีความยาวคลื่นสูงขึ้นตามลำดับ จนถึงแสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดหรือมีความถี่ต่ำที่สุด
- 3. คลื่นที่มีความถี่ต่ำกว่าแสงสีแดงเรียกว่า “ อินฟราเรด ” ( infrared ) ส่วนคลื่นที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วงเรียกว่า “ อัลตราไวโอเลต ” ( Ultraviolet ) 1 . การส่องสว่างและการเปรียบเทียบความเข้มแสง แสงเป็นพลังงาน สามารถทำให้เกิดความสว่างบนผิววัตถุ โดยปริมาณการส่องสว่างของแสงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ก . ความเข้มแสงของแหล่งกำเนิด ข . ระยะทางจากแหล่งกำเนิดแสงกับพื้นที่ที่แสงตกกระทบ ค . มุมตกกระทบของรังสีแสง ความสว่าง ( Illuminance ) ของผิวใด ๆ หมายถึงค่าความสว่างที่ตกบนพื้นที่ผิวต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ถ้าพิจารณาผิวที่อยู่ห่างจากหลอดไฟที่มีกำลังส่องสว่าง 1 แคลเดลลา เป็นระยะทาง 1 เมตร ความเข้มแห่งการส่องสว่างจะมีค่า 1 ลักซ์ ( lux ) โดยความเข้มแห่งการส่องสว่างจะแปรผกผันกับระยะทางกำลังสองให้ E คือความสว่าง ( lux ) I คือกำลังส่องสว่าง ( แคนเดลลา ,cd ) โดยที่ I = , P แทนกำลังของ หลอดไฟ ( Watt ) และ 4?R 2 คือ พื้นที่ผิวที่แสงตกกระทบ ( m 2) R คือระยะห่างจากหลอดไฟถึงผิวที่พิจารณา ( m )E=I/R 2
- 4. ( 1 ) 2 . หน้าคลื่นและรังสีของแสง เมื่อเกิดคลื่นบนผิวน้ำจะเห็นหน้าคลื่นแผ่ออกจากจุดกำเนิดคลื่นเป็นรูปวงกลม แต่ถ้าเป็นแสง โดยแหล่งกำเนิดแสงเป็นจุดก็จะแผ่หน้าคลื่นออกไปเป็นรูปทรงกลม ถ้าลากเส้นจากจุดกำเนิดคลื่นออกไปในแนวตั้งฉากกับหน้าคลื่น เส้นที่ลากออกไปนี้เราเรียกว่า รังสีของแสง ในกรณีที่แหล่งกำเนิดแสงอยู่ไกลมาก ๆ หน้าคลื่นของแสงจะเป็นหน้าคลื่นระนาบ ดังนั้นรังสีของแสงจึงเป็นเส้นตรงขนานกัน ซึ่งรังสีของแสงสามารถบอกถึงลักษณะ การเคลื่อนที่ของคลื่นและหน้าคลื่นได้ ดังนั้นในการศึกษาเกี่ยวกับแสงจึงใช้รังสีของแสงแทนหน้าคลื่น
- 6. รูปที่ 1 แสดงคลื่นเม่เหล็กไฟฟ้าช่วงที่ตามองเห็น
- 7. ความเร็วของแสง นักฟิสิกส์หลายคนได้พยายามทำการวัดความเร็วของแสง การวัดแรกสุดที่มีความแม่นยำนั้นเป็นการวัดของ นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก Ole Rømer ในปี ค . ศ . 1676 เขาได้ทำการคำนวณจากการสังเกตการเคลื่อนที่ของ ดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร์ไอโอ ของดาวพฤหัสบดี โดยใช้กล้องดูดาว เขาได้สังเกตความแตกต่างของช่วงการมองเห็นรอบของการโคจรของดวงจันทร์ไอโอ และได้คำนวณค่าความเร็วแสง 227,000 กิโลเมตร ต่อ วินาที ( ประมาณ 141,050 ไมล์ ต่อ วินาที ) หรือค่าประมาณ 3x10 ยกกำลัง 8 == อ้างอิง == การวัดความเร็วของแสงบนโลกนั้นกระทำสำเร็จเป็นครั้งแรกโดย Hippolyte Fizeau ในปี ค . ศ . 1849 เขาทำการทดลองโดยส่องลำของแสงไปยัง กระจกเงา ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรผ่านซี่ล้อ ในขณะที่ล้อนั้นหมุนด้วยความเร็วคงที่ ลำแสงพุ่งผ่านช่องระหว่างซี่ล้อออกไปกระทบกระจกเงา และพุ่งกลับมาผ่านซี่ล้ออีกซี่หนึ่ง จากระยะทางไปยังกระจกเงา จำนวนช่องของซี่ล้อ และความเร็วรอบของการหมุน เขาสามารถทำการคำนวณความเร็วของแสงได้ 313,000 กิโลเมตร ต่อ วินาที
- 8. การหักเหของแสง แสงนั้นวิ่งผ่านตัวกลางด้วยความเร็วจำกัด ความเร็วของแสงในสุญญากาศ c จะมีค่า c = 299,792,458 เมตร ต่อ วินาที (186,282.397 ไมล์ ต่อ วินาที ) โดยไม่ขึ้นกับว่าผู้สังเกตการณ์นั้นเคลื่อนที่หรือไม่ เมื่อแสงวิ่งผ่านตัวกลางโปร่งใสเช่น อากาศ น้ำ หรือ แก้ว ความเร็วแสงในตัวกลางจะลดลงซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์การหักเหของแสง คุณลักษณะของการลดลงของความเร็วแสงในตัวกลางที่มีความหนาแน่นสูงนี้จะวัดด้วย ดรรชนีหักเห ของแสง ( refractive index ) n โดยที่ โดย n = 1 ในสุญญากาศ และ n >1 ในตัวกลาง เมื่อลำแสงวิ่งผ่านเข้าสู่ตัวกลางจากสุญญากาศ หรือวิ่งผ่านจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง แสงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงความถี่ แต่เปลี่ยนความยาวคลื่นเนื่องจากความเร็วที่เปลี่ยนไป ในกรณีที่มุมตกกระทบของแสงนั้นไม่ตั้งฉากกับผิวของตัวกลางใหม่ที่แสงวิ่งเข้าหา ทิศทางของแสงจะถูกหักเห ตัวอย่างของปรากฏการณ์หักเหนี้เช่น เลนส์ ต่างๆ ทั้ง กระจกขยาย คอน แทค เลนส์ แว่นสายตา กล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล
- 12. กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope ) กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope ) กล้องสะท้อนแสง ( Reflector Telescope )
- 13. ในปีค . ศ . 1663 เจมส์ เกรกอรี่ ( James Gregory ) ชาวสก็อตแลนด์ ได้ประดิษฐ์กล้องสะท้อนแสง โดยการใช้กระจกเว้า ฉาบด้วยสารสะท้อนแสง 2 ชิ้น กระจกเว้าชิ้นแรกเราเรียกว่า กระจกไพรมารี่ ( Primary Mirror ) มีขนานใหญ่กว่า มีความโค้งเป็นแบบพาลาโบลาใช้ในการรวบรวมแสงขนาน โดยการสะท้อนแสงย้อนไปทางหน้ากล้อง และ มีกระจกเว้าชิ้นที่สอง ที่เราเรียกว่า กระจกเซ็คคันดารี่ ( Secondary Mirror ) มีความโค้งเป็นแบบทรงรี ทำหน้าที่สะท้อนแสงครั้งที่สอง ทำให้ตำแหน่งโฟกัสกลับไปตกที่ท้ายกล้อง โดยผ่านรูที่เจาะไว้ตรงกลางของกระจกไพรมารี่ ภาพที่ได้จะไปตกที่ระนาบโฟกัสที่ท้ายกล้องเช่นกัน และใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ตา กล้องชนิดนี้มีชื่อว่ากล้องสะท้อนแสงเกรกอเรี่ยน ( Gregorian Reflector ) ถือว่าเป็นกล้องสะท้อนแสงชนิดแรก
- 14. หน่วย SI ของการวัดแสง พลังงาน ของการส่องสว่าง จูล (joule) J ฟลักซ์ ส่องสว่าง (Luminous flux) ลู เมน ( lumen ) หรือ แคนเดลา · สเตอเรเดียน (candela · steradian) lm อาจเรียกว่า กำลังของความสว่าง ( Luminous power ) ความเข้มของการส่องสว่าง (Luminous intensity) แคนเดลา (candela) cd ความเข้มของความสว่าง (Luminance) แคนเดลา / ตารางเมตร (candela/square metre) cd / m 2 อาจเรียกว่า ความหนาแน่นของความเข้มการส่องสว่าง ความสว่าง (Illuminance) ลักซ์ ( lux ) หรือ ลู เมน / ตารางเมตร lx ประสิทธิภาพการส่องสว่าง (Luminous efficacy) ลู เมน ต่อ วัตต์ ( lumens per watt )lm/W